Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews: กูรูเปิดพิกัดSET เม.ย.แผ่ว หุ้นขึ้นXD ฉุด สงครามการค้าป่วน

1,445

 

 

 

 


HotNews: กูรูเปิดพิกัดSET เม.ย.แผ่ว
หุ้นขึ้นXD ฉุด
สงครามการค้าป่วน


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(2เมษายน2561)----บล.เออีซี (AECS) เปิดพิกัดSET เม.ย.ขาดปัจจัยหนุนภายในประเทศ แกว่งตัวในกรอบแคบๆ ด้านบล.เอเซีย พลัส มองSET ไตรมาส2/61 ผันผวน ในทิศทางอ่อนตัวลง เหตุปัจจัยภายนอกกดดัน มองกรอบ 1787-1839 จุด ฟากบล.ทิสโก้ มองหุ้นไทยไตรมาส 2 ส่อแววเปลี่ยนแนวโน้มเป็นแกว่งซิกแซก ลง จากความไม่ชัดเจนของปัจจัยทั้งในและนอก ทั้งสงครามการค้าป่วน และการเมืองในประเทศยังต้องรอความชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า


บล.เออีซี (AECS) ประเมินหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,760-1,795 จุด เหตุกังวลการประกาศรายงานภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกสะท้อนถึงแนวโน้มการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในเดือน เม.ย. คาดยังผันผวนสูงและทิศทางลงเป็นต่อ ขาดปัจจัยหนุน ด้านฝ่ายวิจัย แนะเก็งกำไรระยะสั้น ชูหุ้นพลังงาน อาทิ PTT-PTTEP และ แบงก์ อาทิ KBANK- SCB-BBL -TMB ตัวนำตลาด

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้(2-5 เม.ย)โดยทางฝ่ายวิจัยมองว่า ตลาดยังคงให้น้ำหนักกับการประกาศรายงานภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเผยแพร่คืนวันศุกร์ที่ 6 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงแนวโน้มการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ และเป็นตัวแปรสำคัญที่เฟดใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายทางการเงิน โดยล่าสุด Consensus คาดการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่ง ชะลอลงจากเพิ่มขึ้น 313,000 ตำแหน่ง และอัตราการจ้างงานคาดลดลงสู่ 4% จาก 4.1% ในเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยมองว่า หากตัวเลขดังกล่าวออกมาดีกว่าที่ Consensus คาดการณ์ อาจส่งผลให้ตลาดกลับมากังวลต่อทิศทางการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อที่เร็วขึ้น กดดันให้ Bond Yield สหรัฐฯ ดีดตัวสูง และทำให้เฟดพิจารณาการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดอัตราเงินเฟ้อ กดดันการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศ
ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย ช่วงเดือน เม.ย. มองว่า ยังขาดปัจจัยหนุนภายในประเทศ โดยแกว่งตัวในกรอบแคบๆ อีกทั้งยังถูกแรงกดดันจากปัจจัยลบในต่างประเทศ ส่งผลให้ภาคการลงทุนยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่องโดยให้กรอบการลงทุนแนวรับ และแนวต้านไว้ที่ระดับ 1,760-1,795 จุด โดยเน้นกลยุทธ์รายสัปดาห์ เหมาะสมสำหรับการกำไรระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนแนะนำว่า หาก SET ปิดหลุด 1,760 จุด แนะนำให้ Stop Loss และ Wait &See เนื่องจากมองดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลงไปทดสอบระดับ 1,730 จุด แต่หากดัชนีสามารถยืนเหนือระดับ 1,760 จุด แนะนำ “ ทยอยขาย หากมีกำไร และทยอยซื้อ ” แนะนำหุ้นกลุ่มพลังงานอาทิ PTT, PTTEP เนื่องจากได้อานิสงส์ราคาน้ำมันยังทรงตัวสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่
นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาทิ KBANK , SCB , BBL , TMB เนื่องจากเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว หลังจากที่ราคาปรับตัวลดลงในช่องก่อนหน้าจากแรงกดดันสงครามค่าฟี พร้อมทั้งยังคงแนะนำหุ้นกลุ่ม Domestic Play อาทิ BCH, RJH, MINT, ERW เนื่องจากมองว่ายังมีอัตราการเติบโตที่ แข็งแกร่ง สำหรับหุ้นที่เตรียมDiv. Yield เกิน 3% โดยจะขึ้น XD เม.ย.–พ.ค. นี้ ได้แก่ KKP, AIT, SC, AP, LH


นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองทิศทางตลาดหุ้นไทย ในไตรมาส 2 ของปี 2561 จะผันผวนสูง ในทิศทางอ่อนตัวลง ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1,787-1,839 จุด โดยปัจจัยกดดันหลัก มาจากภายนอก ทั้งเรื่องกีดกันการค้าสหรัฐฯ-จีน แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และแรงขายจาก Fund Flow ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เป็นปัจจัยภายในประเทศที่กดดัน กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้น หุ้นที่เติบโตแข็งแกร่ง และหุ้น Laggard
“แม้ว่า EPS Growth ของหุ้นไทยปีนี้ จะสูงถึง 14.8% แต่มีหลายปัจจัยเข้ามากดดันตลาด โดยเฉพาะเรื่องการกีดกันการค้า ทำให้ความเสี่ยงจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น ดูจาก PER และ PEG ของไทยเอง สูงใกล้เคียงกับกลุ่มประเทศที่แพง ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า SET จึงมีโอกาสแกว่งตัวลง” คุณภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าว
สำหรับนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ และการทำสงครามการค้าผ่านการตั้งกำแพงภาษี เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าการค้าโลกปีนี้ชะลอตัวลง รวมทั้งความผันผวนของค่าเงิน จะทำให้เงินบาทยังคงแข็งค่า ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เป็นข้อจำกัดต่อภาคการส่งออกของไทยในปีนี้ ทำให้การเติบโตไม่โดดเด่นเท่าปีที่แล้ว ดังนั้น ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2561 น้ำหนักจะไปอยู่ที่การลงทุนและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก
ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกในปีนี้ เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้ว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ต่างทยอยเดินหน้าใช้นโยบายการเงินตึงตัว ผลจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มขยับขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก ยกเว้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่น่าจะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป โดยไทยนั้น เชื่อว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ตลอดช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และน่าจะเริ่มปรับขึ้น 0.25% ในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับกระแส Fund Flow ในไตรมาส 2 นี้ คาดว่าแรงขายยังมีต่อเนื่อง แต่จะเริ่มชะลอลง หลังจากที่ต่างชาติขายหุ้นไทยติดต่อกันมาตลอด หากนับตั้งแต่เดือน มี.ค.2556 จนถึงปัจจุบัน ขายรวมกันแล้วกว่า 4.45 แสนล้านบาท ซึ่งสถิติในอดีต พบว่า 7 ใน 10 ปี ต่างชาติมักขายสุทธิหุ้นไทยในไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม จากแรงขายที่เข้ามาเร็วและแรงช่วงที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าซื้อสะสมสุทธิหุ้นไทย ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน เหลือเพียง 2.94 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เป็นระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับยอดซื้อสุทธิสูงสุดที่ 4.69 แสนล้านบาท ณ วันที่ 15 มี.ค. 2556 จึงเชื่อว่าจากนี้ไป แรงขายน่าจะเริ่มจำกัด
นอกจากนี้คาดในไตรมาส 2 นี้ ยังจะมีแรงขายทำกำไรจากนักลงทุน ที่รอรับปันผลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งหลังปี 2560 ด้วย โดยจะมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขึ้นเครื่องหมาย XD ราว 329 บริษัท ซึ่งมีโอกาสกดดัน SET Index ให้ปรับตัวลงได้ราว 25.6 จุด หรือ 1.4% แยกเป็นเดือน มี.ค.ราว 10.2 จุด, เดือนเม.ย.ราว 9.38 จุด และเดือน พ.ค.ราว 5.6 จุด
ด้านปัจจัยการเมืองในประเทศว่า ตลาดยังมีความกังวลและเฝ้าติดตามประเด็นการจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายในประเทศว่า จะจัดเลือกตั้งในเดือน ก.พ.2562 ได้หรือไม่ แต่จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด ยังเชื่อว่าการเลือกตั้งทั่วไปของไทยน่าจะเกิดขึ้นได้ไม่เกินเดือน ก.พ.2562
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,787-1,839 โดยอิงกับค่า P/E ที่ราว 17-17.5 เท่า ท่ามกลางตลาดหุ้นที่มีความผันผวนและมีโอกาสอ่อนตัวลง จึงแนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นรายตัว ที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เน้นหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการเติบโตดี ผันผวนต่ำ และ laggard โดยในปี 2561 คาดกำไรสุทธิของตลาด จะอยู่ที่ราว 1.12 ล้านล้านบาท และ EPS (กำไรสุทธิต่อหุ้น) อยู่ที่ 112.39 บาทต่อหุ้น ขณะที่ EPS Growth สูงถึง 14.8% เทียบจากปีก่อน ภาพรวมแล้วผลประกอบการของบจ.ในปีนี้ ยังคงเติบโตดี

บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า แม้ตลาดเริ่มคลายความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังทั้งสองฝ่ายแสดงท่าทีเปิดการเจรจาการค้าต่อกัน แต่เรายังมีมุมมองระมัดระวังต่อประเด็นสงครามการค้าอยู่ เนื่องจาก (1) ความไม่แน่นอนของผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าจะออกมาในรูปแบบใด จะจบสวยอย่างที่ตลาดมองไว้หรือไม่ (2) ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของประธานาธิบดีทรัมป์ในอนาคต อาจสร้างการกีดกันการค้ากระจายไปยังประเทศมหาอำนาจอื่นๆ อีกหรือไม่ เพราะหากบานปลายจนเป็นสงครามการค้าโลก จะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (3) แนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เพราะการจัดเก็บภาษี จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และเป็นผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาด
สำหรับประเด็นการเมือง กำลังรอเกิดความชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดยเรามอง 2 ประเด็นที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีผลต่อโรดแมปการเลือกตั้งว่าจะเลื่อนออกไปจากเดือน ก.พ. ปีหน้าหรือไม่ คือ (1) การยืนยันสมาชิกของพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม และ (2) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ากฎหมายลูกที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ในประเด็นแรก เรามองไม่เพียงแต่จะเป็นการหยั่งฐานคะแนนเสียงประชาชนของแต่ละพรรคการเมืองในเบื้องต้นแล้ว ยังรวมถึงอดีต ส.ส. เก่าหลายคนจะยืนยันอยู่พรรคเดิมหรือไม่ ซึ่งแน่นอนย่อมมีผลต่อการคาดคะเนพรรคที่มีโอกาสจะชนะการเลือกตั้ง และน่าจะเป็นปัจจัยผันแปรสำคัญที่จะมีผลต่อคำสั่งของคสช.ในอนาคตว่าจะปลดล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมเพิ่มได้หรือไม่ด้วย ส่วนประเด็นที่สอง เราเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยไม่นานจนล่วงเลยไปถึงเดือน มิ.ย. โดยหากคำวินิจฉัยออกมาว่า ร่างพ.ร.ป.อย่างน้อยฉบับใดฉบับหนึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ โรดแมปการเลือกตั้งที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้าก็เป็นไปได้ยากแล้ว แม้ว่าขณะนี้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่การเลือกตั้งอาจ "เลื่อน" ออกไปจากเดือน ก.พ. ปีหน้า แต่เรามองก็ยังดีกว่าเกิดการเลือกตั้งขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้า (ไม่เลื่อน) แล้วถูก "ล้ม" (ทั้งยืน) ทีหลัง จากการบังคับใช้เป็นกฎหมายไปแล้วแต่ถูกร้องว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีนี้จะยิ่งก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
ด้านแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย 1Q18F โดยรวมไม่คาดว่าจะเติบโต YoY จาก (1) เราคาดว่ากลุ่มแบงก์จะมีกำไรอยู่ที่ 4.98 หมื่นล้านบาทใน 1Q18F เพิ่มขึ้น 27% QoQ แต่คงที่ YoY เนื่องจากยังถูกกดดันจากการตั้งสำรองฯ ตามมาตรฐานบัญชี IFRS9 และกระบวนการ Digital Transformation ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น QoQ มาจากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาลที่ลดลง และ NPL ที่ลดลง และ (2) กลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี แม้กำไรโดยรวมคาดจะดีขึ้นมาก QoQ ตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่น่าจะลดลง YoY เนื่องจากฐานกำไรที่สูงมากในช่วงเวลาของปีที่แล้ว ผลจากการมีรายการพิเศษจำนวนมาก ทั้งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและการประกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน ด้วยกำไรทั้งกลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีคิดเป็นสัดส่วนราว 55-60% ของกำไรโดยรวมของตลาดไม่คาดจะเติบโต YoY เราจึงคาดการณ์เบื้องต้นว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมใน 1Q18F จะไม่เติบโตด้วย อนึ่ง กำไรสุทธิของตลาดโดยรวมใน 1Q17 อยู่ 2.71 แสนล้านบาท เป็นกำไรรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งถือเป็นฐานกำไรที่ค่อนข้างสูง โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 29% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2017 เทียบกับปกติที่จะตกอยู่ที่ 25%+/- ราว 1-2% เท่านั้น
ในเดือนนี้ เราเลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไร 1Q18F จะออกมาดี (โต YoY) แนะนำ COM7, IRPC, RS, SF และหุ้นพื้นฐานที่ราคาอ่อนตัวลงมามากแล้วเริ่มมี downside จำกัด มองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน แนะนำ ROBINS เพราะฉะนั้น หุ้นที่เราแนะนำในเดือน เม.ย. คือ COM7, IRPC, ROBINS, RS และ SF ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1750-60, 1735-40, 1710-20 และ 1785-90, 1810 จุด ตามลำดับ
สงครามการค้า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มเงินเฟ้อ
สหรัฐฯ ทยอยเพิ่มความรุนแรงของมาตรการกีดกันการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เมื่อสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้า 3 ปี และแผงโซลาร์เซลล์ 4 ปี เพื่อหวังปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ตามด้วยต้นเดือน มี.ค. ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กจากประเทศต่างๆ ในอัตรา 25% และอลูมิเนียมในอัตรา 10% ยกเว้นอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา สหภาพยุโรป เม็กซิโก และเกาหลีใต้ และล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีและไอทีจากจีนวงเงินประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ
TISCO Economic Strategy Unit (TISCO ESU) ประเมินความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ไม่น่าต้องการจุดชนวนสงครามการค้าโลก เพราะเคยมีบทเรียนที่เจ็บปวดของการทำสงครามการค้าในอดีต แต่น่าจะมุ่งเป้าเพื่อเพิ่มคะแนนเสียงของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือน พ.ย. นี้ และเป็นกลยุทธ์ในการเปิดการเจรจาการค้ากับจีนที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่เป็นจำนวนมาก (สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าในปี 2017 รวม -7.96 แสนล้านดอลลาร์ฯ โดย -3.75 แสนล้านดอลลาร์ฯ หรือเกือบ 50% ขาดดุลการค้ากับจีนเป็นหลัก)
แม้ตลาดเริ่มคลายความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังทั้งสองฝ่ายแสดงท่าทีเปิดการเจรจาการค้าต่อกัน แต่ยังต้องติดตามพัฒนาการจริงต่อจากนี้ โดยสหรัฐฯ จะประกาศรายการสินค้าที่จะขึ้นภาษีภายในช่วงต้นเดือน เม.ย. นี้ และจะมีช่วงเวลารอคอย 30 วันสำหรับการรับฟังความเห็นจากภาคธุรกิจและประชาชน รวมทั้งเปิดโอกาสให้จีนเข้ามาเจรจา ดังนั้นต้องรอจนกว่าจะถึงเดือน พ.ค. - มิ.ย.ไปแล้ว จึงจะทราบรายการสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีที่มีผลบังคับใช้จริงๆ เบื้องต้น TISCO ESU ประเมินว่าการตอบโต้ทางภาษีระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะกระทบกับมูลค่าส่งออกของแต่ละประเทศราว 5 หมื่นถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ฯ จะส่งผลกระทบต่อ GDP ของทั้งจีนและสหรัฐฯ ราว 0.1-0.2 ppt
อย่างไรก็ดี เรายังมีมุมมองระมัดระวังต่อประเด็นการกีดกันการค้าอยู่ จาก (1) ความไม่แน่นอนของผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าจะออกมาในรูปแบบใด จะจบสวยอย่างที่ตลาดมองไว้หรือไม่ (2) ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของประธานาธิบดีทรัมป์ในอนาคต อาจสร้างการกีดกันการค้ากระจายไปยังประเทศมหาอำนาจอื่นๆ อีกหรือไม่ เพราะหากบานปลายจนเป็นสงครามการค้าโลก จะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (3) แนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เพราะการจัดเก็บภาษี จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และเป็นผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาด
การเมืองในประเทศรอความชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า
เรามอง 2 ประเด็นทางการเมืองที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ เพราะจะมีผลต่อโรดแมปการเลือกตั้งว่าจะเลื่อนออกไปจากเดือน ก.พ. ปีหน้าหรือไม่ คือ (1) การยืนยันสมาชิกของพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม และ (2) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ากฎหมายลูกที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
(1) การยืนยันสมาชิกของพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม - หลังจากที่ต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มการเมืองที่เตรียมจะตั้งพรรคใหม่ได้จดจองชื่อพรรคกันไปแล้ว การเมืองในเดือนนี้จะเห็นความเคลื่อนไหวในส่วนของพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม จากคำสั่ง "คลายล็อก" ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ให้พรรคการเมืองเดิมที่มีอยู่เริ่มยืนยันสมาชิกพรรคได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. โดยมีระยะเวลายืนยันสมาชิก 1 เดือน หรือจนถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วไปจะยืนยันเป็นสมาชิกพรรคแล้ว (ซึ่งเป็นการหยั่งฐานคะแนนเสียงประชาชนของแต่ละพรรคการเมืองในเบื้องต้น หรืออาจเรียกว่าใครเป็น "แฟนพันธุ์แท้" ของพรรคการเมืองใด) สิ่งที่ต้องดูกันก็คือ อดีต ส.ส. เก่าหลายคนจะยืนยันอยู่พรรคเดิมหรือไม่ ซึ่งแน่นอนย่อมมีผลต่อการคาดคะเนพรรคที่มีโอกาสจะชนะการเลือกตั้ง และน่าจะเป็นปัจจัยผันแปรสำคัญที่จะมีผลต่อคำสั่งของคสช.ในอนาคตว่าจะปลด ล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมเพิ่มได้หรือไม่ด้วย
(2) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ากฎหมายลูกที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ - ภายในวันที่ 2 เม.ย. นี้ คาดสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะยื่นร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเพิ่มเติมจากเดิมที่ยื่นเฉพาะร่างพ.ร.ป.ที่มา ส.ว. ด้วยร่างพ.ร.ป.ที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสอง อาจต้องใช้เวลาในการพิจารณาเพิ่มขึ้น แต่ด้วยเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายต่างจับตามอง เราเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยไม่นานจนล่วงเลยไปถึงเดือน มิ.ย. โดยหากคำวินิจฉัยออกมาว่า ร่างพ.ร.ป.อย่างน้อยฉบับใดฉบับหนึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ โรดแมปการเลือกตั้งที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้าก็เป็นไปได้ยากแล้ว โดยเรามองอาจมีความคลาดเคลื่อนออกไปเป็นหลักเดือนแต่ไม่ใช่เป็นหลักปี และแม้ว่าขณะนี้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่การเลือกตั้งอาจ "เลื่อน" ออกไปจากเดือน ก.พ. ปีหน้า แต่เรามองก็ยังดีกว่าเกิดการเลือกตั้งขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้า (ไม่เลื่อน) แล้วถูก "ล้ม" (ทั้งยืน) ทีหลัง จากการบังคับใช้เป็นกฎหมายไปแล้วแต่ถูกร้องว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีนี้จะยิ่งก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
มองกำไร 1Q18F ของบริษัทจดทะเบียนไทยโดยรวมไม่เติบโต จากฐานที่สูงในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
เราคาดผลประกอบการรวมของกลุ่มธนาคารที่ 4.98 หมื่นล้านบาทใน 1Q18F เพิ่มขึ้น 27% QoQ แต่คงที่ YoY โดยเราคาดว่าธนาคารขนาดกลาง - เล็ก จะมีการเติบโตของ EPS ที่ดีกว่าธนาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ TCAP (จากการฟื้นตัวของสินเชื่อรถยนต์), BAY (มีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น) และ TMB (จากค่าธรรมเนียมของ FWD) ถึงแม้ว่าธนาคารขนาดใหญ่จะโชว์สินเชื่อที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ผลประกอบการ 1Q18F คาดจะถูกกดดันจากการตั้งสำรองฯ ตามมาตรฐานบัญชี IFRS9 และกระบวนการ Digital Transformation ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลประกอบการเพิ่มขึ้น QoQ จากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาลที่ลดลง และ NPL ที่ลดลง
สำหรับกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี แม้กำไรโดยรวมคาดจะดีขึ้นมาก QoQ ตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่น่าจะลดลง YoY เนื่องจากฐานกำไรที่สูงมากในช่วงเวลาของปีที่แล้ว ผลจากการมีรายการพิเศษจำนวนมาก ทั้งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและการประกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน ด้วยกำไรทั้งกลุ่มธนาคาร, กลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีคิดเป็นสัดส่วนราว 55-60% ของกำไรโดยรวมของตลาดไม่เติบโต YoY เราจึงคาดการณ์เบื้องต้นว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมใน 1Q18F จะไม่เติบโต อนึ่ง กำไรสุทธิของตลาดโดยรวมใน 1Q17 อยู่ 2.71 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 29% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2017 เทียบกับปกติที่จะตกอยู่ที่ 25%+/- ราว 1-2% เท่านั้น
การขึ้น XD ในเดือน เม.ย. จนถึงกลางเดือน พ.ค. นี้ คาดจะกดดัน SET Index ปรับลงราว -16 จุด

ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มีหุ้นขนาดใหญ่ทยอยขึ้นเครื่องหมาย XD (จ่ายปันผล) ไปบ้างแล้ว อาทิ PTT, PTTGC, CPN, DELTA, MAKRO, EGCO, TU, PSH, JAS, ROBINS, BGRIM, EA, TVO และ KCE เป็นต้น ซึ่งกระทบ SET Index ปรับตัวลงไปโดยปริยายราว -10 จุด เรามองผลกระทบนี้จะมีความต่อเนื่องในเดือน เม.ย. จนถึงกลางเดือน พ.ค. นี้ เนื่องจากจะจำนวนบริษัทจดทะเบียนขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงเวลาดังกล่าวรวม 202 บริษัท (นับเฉพาะหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ไม่รวม mai และนับเฉพาะหุ้นที่จ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น ไม่รวมการจ่ายปันผลเป็นหุ้น) จากการประเมินของเราคาดว่าจะมีผลกระทบต่อ SET Index ราว -10 จุดในเดือน เม.ย. และ -6 จุดในเดือน พ.ค. โดยวันที่จะมีผลกระทบมากสุด 5 อันดับแรก คือ วันที่ 17 เม.ย. -1.67 จุด, 27 เม.ย. -1.56 จุด, 4 พ.ค. -1.55 จุด, 4 เม.ย. -1.40 จุด และ 7 พ.ค. -1.38 จุด ตามลำดับ
ทางเทคนิค ระวัง SET Index ไหลลงเร็วและจะยืนยันถึงแนวโน้ม "Downtrend"เมื่อปิดต่ำกว่า 1758 จุด
จุดสตาร์ทของ SET Index ปีนี้เริ่มต้นที่ 1758 จุด และแกว่งซิกแซกขึ้นแตะบริเวณ 1850+/- จุดสองครั้งแต่ไม่ผ่าน ภาพ SET Index เริ่มไม่ใช่แนวโน้มขาขึ้นแล้วเมื่อถอยลงมาปิดต่ำกว่าบริเวณ 1790-1800 จุดในช่วงต้นเดือน มี.ค. และย้อนกลับมาทดสอบบริเวณ 1758 จุดเป็นครั้งที่สามของปีนี้ เรามอง SET Index ที่บริเวณ 1758 จุดเป็นระดับที่มีนัยสำคัญมากทางปัจจัยเทคนิค โดยหากปิดต่ำกว่าระดับดังกล่าว จะยืนยันแนวโน้มแกว่งซิกแซกในขาลง (Downtrend) มีเป้าหมายที่บริเวณ 1710-1720 จุด
มองหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่แนวโน้มกำไรปีนี้เติบโต น่าจะทนทานต่อความไม่แน่นอนทั้งในและนอกได้ดี
ในเดือนนี้ เราเลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไร 1Q18F จะออกมาดี (โต YoY) แนะนำ COM7, IRPC, RS, SF และหุ้นพื้นฐานที่ราคาอ่อนตัวลงมามากแล้วเริ่มมี downside จำกัด มองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน แนะนำ ROBINS เพราะฉะนั้น หุ้นที่เราแนะนำในเดือน เม.ย. คือ COM7, IRPC, ROBINS, RS และ SF ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1750-60, 1735-40, 1710-20 และ 1785-90, 1810 จุด ตามลำดับ

 

-----จบ----

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ความเสี่ยงคลุมหุ้นไทย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เป็นปัจจัยความเสี่ยง ทั้งในและนอกประเทศ ปกคลุมตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นไทย จังหวะเด้ง .....

กังวล By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม นักลงทุน ยังคงมีความกังวลใจต่อ สถานการณ์ตะวันออกลาง จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพิ่มเติมใหม่หรือไม่ ....

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้