สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (27 สิงหาคม 2568 )-----o ตั้งแต่ปี 2020 ที่ทางการจีนได้ออกกฎสามเส้นแดง (Three red lines) เพื่อควบคุมการก่อหนี้เกินตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในจีนได้เผชิญปัญหาการจ่ายหนี้ การดำเนินธุรกิจ และประสบภาวะล้มละลายกระทบถึงเศรษฐกิจจีนมาจนถึงปัจจุบัน
o เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2025 “Evergrande” บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีนที่เป็นบริษัทแรกที่ส่งสัญญาณผิดนัดชำระหนี้ในปี 2021 ได้ถูกเพิกถอน (delisting) ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หลังถูกระงับการซื้อขายมาตั้งแต่ 29 ม.ค.2024 โดยราคาตลาดของ Evergrande เคยสูงสุดถึงประมาณ 31 ดอลลาร์ฮ่องกง ก่อนจะร่วงลงต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ฮ่องกง (รูปที่ 1) มูลค่าหนี้สินทั้งหมดคาดว่าอยู่ที่ 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
o การถูกเพิกถอนออกจากตลาดหุ้นของบริษัท Evergrande ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญเชิงสัญลักษณ์ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญของเศรษฐกิจจีน โดยคาดว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่อื่น ๆ ของจีนที่ประสบปัญหาการชำระหนี้อาจดำเนินรอยตาม
o ช่วงที่ผ่านมาทางการจีนทยอยออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนฝั่งอุปสงค์ เช่น การผ่อนปรนข้อจำกัดเรื่องเงินดาวน์ ผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการซื้อบ้าน และการจัดตั้งโครงการปล่อยเงินกู้ใหม่ (Re-lending program) เป็นต้น และมาตรการฝั่งอุปทานเพื่อช่วยเหลือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เช่น White-list program แต่มาตรการส่วนใหญ่จะเป็นมาตรการที่เน้นการประคับประคองมากกว่าการพลิกฟื้นสถานการณ์ โดยทางการจีนเองต้องการเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น อุตสาหกรรม High-tech ทดแทนในภาคอสังหาริมทรัพย์ (รูปที่ 2)
o ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จีนอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจจีนต่อไปในระยะข้างหน้า โดยภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนใน 3 ประเด็นหลัก คือ
1. ภาคอสังหาริมทรัพย์รวมถึงภาควัสดุก่อสร้างต่าง ๆ คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจจีน
2. ความมั่งคั่งของครัวเรือนอยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ถึง 70% ส่งผลต่อเนื่องถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และทิศทางการจับจ่ายใช้สอย
3. รายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นมาจากการขายที่ดิน โดยช่วงที่ผ่านมารายได้จากการขายที่ดินของรัฐบาลท้องถิ่นลดลงต่อเนื่อง (รูปที่ 3) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน
o ทั้งนี้ ในปี 2025 ทางการจีนมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง เช่น การกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ และนโยบายการเงินผ่านการลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจในประเทศอย่างภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาภายนอกอย่างสงครามการค้าคาดจะกดดันให้เศรษฐกิจจีนปี 2025 เติบโตที่ 4.8% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของทางการที่ 5%