Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผย เดือน 7 ปี 68 จดทะเบียนธุรกิจใหม่โต 9.8% ทุน 22,018 ล้านบาท ไทยยังฮอต! ต่างชาติลงทุน 159,460 ลบ. หนุนเศรษฐกิจเติบโต ด้านธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ปี 65-67 รายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง น่าจับตามองเป็นช่องทางขายสู่อนาคต

104

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (26 สิงหาคม 2568 )-----กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยสถิติจดทะเบียนประจำเดือนกรกฎาคม 2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,710 ราย เพิ่มขึ้น 9.78% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ทุนจดทะเบียนรวม 22,018 ล้านบาท รวมถึงยอด 7 เดือนที่ผ่านมาสะสมอยู่ที่ 51,548 ราย ทุนจดทะเบียน 171,158 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่การลงทุนของชาวต่างชาติ 7 เดือนแรกทะยานกว่า 75% นำโดยญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสิงคโปร์ บ่งชี้ศักยภาพการเป็นศูนย์กลางลงทุนในภูมิภาค พร้อมชี้ "ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ" เป็นธุรกิจดาวรุ่ง เปลี่ยนพื้นที่เล็ก ๆ ให้กลายเป็นโอกาสสร้างรายได้มหาศาลในยุคดิจิทัล

 

          นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,710 ราย เพิ่มขึ้น 687 ราย (9.78%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (7,023 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 22,018 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,905 ล้านบาท (21.56%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (18,113 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 617 ราย ทุนจดทะเบียน 1,150 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 389 ราย ทุนจดทะเบียน 2,623 ล้านบาท 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 286 ราย ทุนจดทะเบียน 488 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.00%, 5.05% และ 3.71% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2568 ตามลำดับ

 

          ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 3,206.37 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เหอลี่ อินดัสเทรียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,001.88 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิต ประกอบและจำหน่ายยานยนต์อุตสาหกรรมครบวงจร และบริษัทดับเบิ้ลยูทียู ซินดิเคท จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,204.49 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่า พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ขายฝาก ตลอดจนทะเบียนสิทธิ์ใดๆ ซึ่งอาคารชุด

 

          อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งใหม่ช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวน 51,548 ราย ลดลง 2,672 ราย (-4.93%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (54,220 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 171,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,375 ล้านบาท (1.41%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (168,783 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 4,107 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,259 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2,118 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.97%, 6.32% และ 4.11% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในช่วง 7 เดือนของปี 2568 ตามลำดับ

 

          การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกรกฎาคม 2568 มีจำนวน 1,825 ราย เพิ่มขึ้น 357 ราย (24.32%)          เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (1,468 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 20,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,753 ล้านบาท (93.75%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (10,403 ล้านบาท) สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 160 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 393 ล้านบาท  2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 96 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 390 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 76 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 203 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.77%, 5.26% และ 4.16% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2568 ตามลำดับ

 

          ทั้งนี้ เดือนกรกฎาคม 2568 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการถึง 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 14,068 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท อินโดรามา ปิโตรเคม จำกัด ทุนจดทะเบียน 10,146.17 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิต ส่งออก นำเข้า ทำ ซื้อ ขาย แผ่นโพลีเอสเตอร์ เส้นใยโพลีเอสเตอร์ เส้นด้าย โพลีเอสเตอร์, บริษัททรู ไลฟ์ พลัส จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,575 ล้านบาท ประกอบกิจการให้บริการเกมส์ออนไลน์ และบริษัท ทรู อีโลจิสติกส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,347 ล้านบาทประกอบธุรกิจให้บริการข้อมูลข่าวสารวิชาการในด้านการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาการบริหารการพัฒนาองค์การเทคโนโลยี และอื่นๆ

 

การจดทะเบียนเลิกช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวน 8,069 ราย เพิ่มขึ้น 140 ราย (1.77%) เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนของปี 2567 (7,929 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 50,700 ล้านบาท ลดลง 34,880 ล้านบาท (-40.76%) เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนของปี 2567 (85,579 ล้านบาท) โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 707 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 412 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 352 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8.76%, 5.11% และ 4.36% จากจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ตามลำดับ

 

สำหรับสัดส่วนของการจัดตั้งธุรกิจและจดเลิกในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 6:1 กล่าวคือ จัดตั้ง 6 ราย เลิก 1 ราย โดยสัดส่วนนี้เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ทั้งนี้ ในปี 2568 มีจำนวนจัดตั้งใหม่ 51,548 ราย   ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่มีจำนวน 48,040 ราย และยังคงเป็นไปตามวัฎจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ สำหรับประเภทธุรกิจที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนของปี 2568 ใน 3 อันดับแรก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 คือ 1) ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เพิ่มขึ้น 317 รายคิดเป็น 50.16% 2) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เพิ่มขึ้น 280 ราย คิดเป็น 46.90% และ 3) ธุรกิจขนส่ง ขนถ่ายสินค้า และคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 229 ราย คิดเป็น 23.46%

 

            ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,016,377 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.02 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 965,012 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.71 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 763,913 ราย หรือ 79.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.98 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 199,604 ราย หรือ 20.68% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,495 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.30 ล้านล้านบาท  สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 523,600 ราย ทุนจดทะเบียน 13.11 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 315,348 ราย ทุน 2.58 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 126,064 ราย ทุน 7.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.26%, 32.68% และ 13.06% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ

 

การลงทุนของชาวต่างชาติ 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568)

          การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของ   คนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวน 583 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 150 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 433 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 159,460 ล้านบาท      โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 123 ราย (27%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (460 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 68,473 ล้านบาท (75%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (90,987 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

 

            1. ญี่ปุ่น 112 ราย คิดเป็น 19% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 69,817 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ ธุรกิจบริการเป็นศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น พลาสติกคอมพาวด์และมาสเตอร์แบตช์ สิ่งพิมพ์ลามิเนทเพื่อบรรจุภัณฑ์  อุปกรณ์สำหรับรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร และชิ้นส่วนยานพาหนะ

            2. สหรัฐอเมริกา 85 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,238 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรม ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ ธุรกิจโฆษณา และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB

            3. สิงคโปร์ 74 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 22,872 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ธุรกิจบริการสนับสนุนและบริหารจัดการการวิจัยทางคลินิก ธุรกิจบริการให้ใช้แอปพลิเคชันสำหรับเชื่อมต่อกับระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป       บรรจุภัณฑ์กระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพ แม่พิมพ์/ชิ้นส่วนพลาสติก และ Printed Circuit Board

            4. จีน 73 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 20,029 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจ การจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากการผลิต PCBA, ฟิล์มและบรรจุภัณฑ์พลาสติก  ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ Multilayer Printed Circuit Board

5. ฮ่องกง 64 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 11,467 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรม ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนพลาสติก ชิ้นส่วนโลหะ

 

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 176 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 39 ราย (28%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 73,186 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 44 ราย ลงทุน 26,937 ล้านบาท จีน 43 ราย ลงทุน 14,442 ล้านบาท ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,264 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 71 ราย ลงทุน 26,543 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจบริการเขต Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปจากแผ่นวงจรพิมพ์ ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล เป็นต้น

 

          วิเคราะห์ธุรกิจ: ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ เปลี่ยนพื้นที่เล็กๆ สู่เศรษฐีเงินล้าน

          กรมฯ ได้วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจประจำเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า 'ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ' (Vending Machine) เป็นธุรกิจดาวรุ่งที่เติบโตสอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่ที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบาย การเลือกซื้อและเข้าถึงสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงมีทางเลือกชำระเงินที่หลากหลาย ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในธุรกิจนี้กว่า 760 ราย  ทุนจดทะเบียนรวมกว่า 5,962 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กถึง 95% ขณะที่รายได้รวมของธุรกิจในปี 2567 อยู่ที่ 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 34.74% จากปี 2566 และยังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศรวมกว่า 619 ล้านบาท โดย 3 อันดับที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดคือ ฮ่องกง ลงทุน 455 ล้านบาท หมู่เกาะเคย์แมน ลงทุน 76 ล้านบาท และออสเตรีย ลงทุน 27 ล้านบาท

 

          ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นในอนาคตจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศเริ่มมองเห็นช่องทางการตลาด และกระจายสินค้าผ่านช่องทางตู้จำหน่ายฯ มากขึ้น การเติบโตของธุรกิจนี้สะท้อนให้เห็นว่าการมองเห็นประโยชน์จาก 'พื้นที่เล็กๆ' อย่างมุมห้างสรรพสินค้า สำนักงาน คอนโดมิเนียม หรือสถานีรถไฟฟ้า ก็สามารถเปลี่ยนเป็นช่องทางสร้างรายได้มหาศาล โดยที่ไม่ต้องลงทุนจำนวนมากไม่ต้องใช้พนักงาน และสามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

          หากผู้ประกอบธุรกิจสามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนซื้อเครื่องเอง การเช่าเครื่อง หรือแฟรนไชส์ พร้อมธุรกิจนี้ยังสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI และระบบชำระเงินดิจิทัลมาช่วยให้บริการที่สะดวกและดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ จึงไม่เพียงเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุน แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของ การค้าปลีกยุคดิจิทัล ที่สามารถพลิกพื้นที่เล็ก ๆ ให้กลายเป็นโอกาสใหญ่ได้จริง" อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

รอ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้หุ้นพัก นักลงทุนรอจับตา ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกฯ ใน 29 ส.ค. นี้...

SSP เตรียม COD โซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น Q4/68

SSP เตรียม COD โซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น Q4/68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้