Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

118

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม

 

Key Findings
หลังจากกระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่อเนื่องยาวนานถึง 8 สัปดาห์ รวมมูลค่าราว 18.7 พันล้านดอลลาร์ สัปดาห์ล่าสุดเกิดสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเมื่อ Fund Flow พลิกกลับเป็นไหลออกครั้งแรก ด้วยแรงขายสุทธิถึง 4.9 พันล้านดอลลาร์
แรงขายในรอบนี้มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ ตลาดหุ้นไต้หวัน ซึ่งถูกขายสุทธิสูงถึง -4.1 พันล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับการปรับขึ้นของตลาดในช่วงก่อนหน้าที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (-746 ล้านดอลลาร์), ไทย (-188 ล้านดอลลาร์) และฟิลิปปินส์ (-27 ล้านดอลลาร์) ก็ถูกเทขายเช่นกัน สวนทางกับตลาดหุ้นอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดเดียวที่มีกระแสเงินทุนไหลเข้าจำนวน 168 ล้านดอลลาร์
เมื่อรวมยอดสะสมตั้งแต่ต้นปี 2025 นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิรวม กว่า 10.6 พันล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็น:

เกาหลีใต้: -5.2 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด)

อินโดนีเซีย: -3.2 พันล้านดอลลาร์ (แม้จะมีกระแสไหลเข้าในสัปดาห์ล่าสุด)

ไทย: -2.1 พันล้านดอลลาร์

ภาพรวมดังกล่าวสะท้อนว่าการไหลเข้าของกระแสเงินทุนช่วงก่อนหน้าไม่ได้เพียงพอที่จะชดเชยแรงขายสะสมตลอดทั้งปี ซึ่งทำให้ Fund Flow Balance ของภูมิภาคยังอยู่ในแดนลบ

ในเชิงหมวดอุตสาหกรรม สัญญาณจากดัชนี Volume Index ของแต่ละตลาดสะท้อนแรงซื้อที่โดดเด่นในกลุ่ม Chemical ในตลาดหุ้นไต้หวัน ไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ได้รับแรงหนุนจากข่าวการประกาศแผนของรัฐบาลเกาหลีใต้ ร่วมมือกับบริษัทปิโตรเคมีหลายแห่ง ในการปรับลดกำลังการผลิตลง เพื่อลดแรงกดดันจากภาวะอุปทานล้นตลาด


Implications
การที่ Fund Flow พลิกกลับมาไหลออกหลังไหลเข้าต่อเนื่องยาวนานถึง 8 สัปดาห์ ถือเป็นสัญญาณของการขายทำกำไร โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาระดับดัชนีของตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้ที่เร่งตัวขึ้นจนเข้าสู่โซน Overbought ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเริ่มเปลี่ยนจากโหมด Greed สู่ภาวะระมัดระวังมากขึ้นในระยะสั้น และอาจทำให้เกิดแรงขายทำกำไรต่อเนื่องในกลุ่มหุ้น ที่ปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้า
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย สัญญาณของ Volume Index ก็สะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุนเช่นกัน เนื่องจากเริ่มอ่อนแรงลงเป็นสัปดาห์ที่สอง อย่างไรก็ตามภาพในระดับกลุ่มอุตสาหกรรมยังเห็นสัญญาณที่แข็งแรงในบางกลุ่ม โดยเฉพาะ กลุ่ม Utilities ที่คาดว่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวมต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วที่ได้อัปเดตไป



สรุปภาพตลาดวานนี้

SET ไปต่อ ตามต่างประเทศ จากธัม Bond Yields ขาลง ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้า ก็บวกรีบาวด์ขึ้นมาตามด้วยและเด่นสุดในเมื่อวานนี้ (พร้อมทั้งวูลลุ่มเข้า) ทั้ง GULF GPSC BGRIM RATCH BPP GUNKUL ขณะที่หุ้นถูกล็อคกำไรกลุ่มปลอดภัยอย่างธนาคาร ไอซีที รพ.

แนวโน้มตลาดวันนี้
เลือกเป้าหมายหุ้นกลุ่มถัดไป

เราคงกลยุทธ์เลือกซื้อหุ้นตามปัจจัยเฉพาะตัว ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นมากกว่าปัจจัยมหภาค โดยเราสังเกตหุ้นที่ราคาขยับขึ้นระหว่างที่ดัชนีฯตลาดหุ้นไทย ไม่ได้เคลื่อนไหวออกจากกรอบ Sideways up ตามที่เราประเมินในรายงานกลยุทธ์ประจำสัปดาห์

หุ้นที่บวกดีกว่าตลาด เริ่มต้นจาก ปิโตรเคมี ต่อด้วยหุ้นส่งออกชิ้นส่วน และ ล่าสุดโรงไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งหน้าหุ้นเหล่านี้ มีจุดยืนร่วมกันและเราเลือกหุ้นเหล่านี้เข้าพอร์ต คือส่วนใหญ่อิงตาม ภาวะเศรษฐกิจโลกคลี่คลายจากประเด็นภาษีตอบโต้ ต่อด้วยแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงช่วยลดต้นทุน

หากพิจารณาตามทิศทางปัจจัยดังกล่าวเราเห็นว่า สิ่งที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้ คือค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ซึ่งเป็นไปตามทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ และการอ่อนค่าน่าจะช่วยหนุนธุรกิจที่เชื่อมโยง เช่น นิคมอุตสาหกรรม, โรงแรมท่องเที่ยว

กอปรกับช่วงเดือน ส.ค. ก.ย. ต่อเนื่องด้วย ต.ค. จะเป็นช่วงฤดูร้อนและหยุดยาวในต่างประเทศ และมาตรการรัฐที่เตรียมอุดหนุน เช่น แจกตั๋วเครื่องบินเดินทางในประเทศฟรี 4 ที่นั่ง (2 แสนคน ไป-กลับ) ซึ่งคาดจะเห็นการเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อท่องเที่ยว และกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มมูลค่าตามค่าเงินบาทที่น่าจะอ่อนค่าในจังหวะที่สอดคล้องกัน

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลระหว่างกาลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET รีบาวด์แต่ยังอยู่ในโครงสร้างคลื่นขาลง corrective wave a-b-c ปัจจุบันเคลื่อนที่อยูในรอบของการรีบาวด์ “b” wave โดยประเมินจุดเสี่ยง...หากดัชนีไม่สามารถทำจุด high ได้อาจต้องระวังการปรับฐานครั้งสุดท้ายเพื่อจบคลื่นขาลง wave (c)

สรุป: ดัชนีถึงจุดวัดใจจะสามารถทะลุจุดยอดที่ 1,283 จุด ขึ้นไปได้หรือไม่! อาจต้องระมัดระวังไว้บ้าง....อย่างไรก็ตามภาพระยะกลางมีโอกาสขึ้นได้อีก อาจรอการปรับฐานย่อยให้เสร็จสมบูรณ์ Impulse wave 3 เป้าหมายใหญ่ 1,330 จุด ลุ้นกันยาวๆ

ไฮไลท์หุ้นแนะนำ: หุ้นโรงไฟฟ้าเขียวยกแผง ได้ปย.หากดอกเบี้ยเป็นขาลง/ จับหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลใหญ่ “Pair trade”/หุ้นเด่น: PTTGC (Reversal to uptrend) WHA (Impulse wave 3) TOP (จ่อทะลุ EMA 200)…ติดตามการวางแผนในหน้าเลือกหุ้นเด่นประจำวันครับ

 

 

What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติคดีปมคลิปเสียงนายกฯ วันที่ 29 ส.ค.และ วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี “ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68-69
"กิตติรัตน์" จ่อชงเคาะมาตรการแก้หนี้ประชาชน หนุนเลิกดอกเบี้ย Flat Rate ในธุรกิจลีสซิ่ง
ตลท.จัดงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ก้าวข้ามความท้าทายสู่โอกาสลงทุนใหม่ 27-29 ส.ค.
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 91.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย.นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือน ธ.ค. (เหลือลดดอกเบี้ยแค่ 2 ครั้ง) หลังจากประฐานเฟด แถลงในงานเสวนา Jackson Hole พร้อมด้วยท่าที ต่อนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย
"ทรัมป์" ขู่ปลด "ลิซา คุก" พ้นกรรมการเฟด หากไม่ยอมลาออก หาก ปธน.ทรัมป์สามารถปลดนางคุกออกจากตำแหน่ง เขาก็จะมีโอกาสปรับโครงสร้างคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด โดยสามารถแต่งตั้งผู้ที่มีแนวคิดสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เสียงข้างมากของคณะกรรมการฯ มีมุมมองที่สอดคล้องกับปธน.ทรัมป์ ในด้านนโยบายการเงิน
ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเตรียมสอบสวนนางคุก หลังถูกกล่าวหาว่าทำการฉ้อโกงด้วยการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

หุ้นแนะนำวันนี้
MINTธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศของ MINT เริ่มเห็นสัญญาณ RevPar ที่ดีขึ้นเริ่มตั้งแต่เดือน กค.เป็นต้นมา คาดปิดเดือน ส.ค.ยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง
แนวรับ 24.5 ต้าน 25.5 Stop loss 24

Tactical port เพิ่ม MINT

 

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Econ

Export: การส่งออกไทยเดือนกรกฎาคม 2025 ดีกว่าตลาดคาด
มูลค่าการส่งออกไทยเดือนกรกฎาคม 2025 อยู่ที่ 28,580.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 11.0% YoY สูงกว่าตลาดคาดที่ 9.6% YoY (Bloomberg consensus) และหากไม่รวมหมวดอัญมณีและเครื่องประดับก็ยังขยายตัวได้ 11.6% YoY ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกช่วง 7 เดือนแรกของปี 2025 ขยายตัวได้ 14.4% YoY โดยการเร่งนำเข้าสินค้า (Front-loaded demand) ของคู่ค้าสำคัญก่อนที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้ภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) วันที่ 7 สิงหาคม 2025 กลับมาเป็นแรงหนุนสำคัญของตัวเลขส่งออกเดือนกรกฎาคม 2025

สินค้าเกษตรขยายตัว 21.5% YoY นำโดยทุเรียนสดที่ขยายตัวสูงถึง 151.3% YoY แต่สินค้าอื่นถูกกดดันด้านราคา เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ด้านสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวเล็กน้อยที่ 0.2% YoY (หรือหดตัว 3.3% MoM) แต่บางหมวดยังเติบโตได้ดี เช่น น้ำตาลทราย (+36.2% YoY), ผลไม้กระป๋อง (+12.9% YoY), อาหารสัตว์เลี้ยง (+9.1% YoY)

และสินค้าอุตสาหกรรมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยขยายตัว 14.0% YoY (หรือขยายตัว 1.0% MoM) โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ แผงวงจรไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อรถยนต์ อย่างไรก็ดี สินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางรายการ เช่น โทรศัพท์และอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (อาทิ HDDs) เริ่มเห็นการหดตัว MoM ที่ชัดขึ้น สะท้อนโมเมนตัมที่อ่อนแรง ส่วนการส่งออกรถปิคอัพและรถบรรทุกกลับมาขยายตัวแรง แต่รถยนต์นั่งยังหดตัวต่อเนื่อง

Implications: แม้การส่งออก 7 เดือนแรกขยายตัวสูง แต่ในช่วงที่เหลือของปี 2025 การส่งออกยังมีความเสี่ยงสูงที่จะหดตัวลึกจากผลของภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ ที่ 19% ซึ่งแม้สินค้าส่งออกไทยจะโดนเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับคู่แข่งในภูมิภาค แต่ระดับภาษีที่สูงขึ้นย่อมกดดันให้ความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ ลดลง โดยทั้งปี 2025 การส่งออกไทยน่าจะกลับมาขยายตัวได้ราว 4%–5% YoY อย่างไรก็ดี การนำเข้าที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง (ช่วง 7 เดือนแรกโต 10.6% YoY) โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีนที่ยังคงมีแนวโน้มทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้น อาจจำกัดผลบวกต่อ GDP ไทย ขณะเดียวกัน การนำเข้าที่เติบโตสูงส่วนหนึ่งเป็นการนำเข้าเพื่อส่งออก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของภาษี Transshipment ที่ 40% ในระยะข้างหน้าด้วย

 

 


Property Sector
สร้างฐานต่ำใหม่ก่อน
ภาพรวมกำไรรวมของผู้พัฒนาอสังหาฯ 6 รายที่เราให้คำแนะนำอยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท ลดลง 15% YoY แต่เพิ่มขึ้น 71% QoQ โดยการฟื้นตัว QoQ มาจากฐานต่ำในไตรมาสก่อน ไม่ใช่การฟื้นตัวอย่างแท้จริง รายได้รวมลดลง YoY แต่ดีขึ้น QoQ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งโอนเพื่อชดเชย ยอด presales ที่ยังคงอ่อนแอ อัตรากำไรขั้นต้นเหลือ 29.4% ลดลงทั้ง YoY และ QoQ สะท้อนแรงกดดันจากโปรโมชั่นและส่วนลดที่เข้มข้น
AP และ SC ยังมีจุดแข็ง โดย SC โดดเด่นสุดจากการโอนคอนโด ขณะที่ SIRI ฟื้นตัวจาก Backlog ที่แข็งแรง ส่วน LH, SPALI และ PSH เผชิญแรงกดดันการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มกลางถึงล่างยังพึ่งการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย
แนวโน้ม 3Q25 เรามองว่ากลุ่มอสังหายังคงจะเผชิญกับภาคคล้ายๆ กับครึ่งปีแรก ที่ยังจะมีเรื่องของการแข่งขันด้านราคาเข้ามาต่อเนื่อง แต่จะดูดีขึ้น QoQ เนื่องจากผู้เล่นรายใหญ่จะเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้นเพื่อรองรับต่อภาพ high season ถึงแม้จะแลกมาด้วย gross margin ที่น้องลง
Fundamental view: เรามองว่าตลาดอสังหาฯ กำลังจะเข้าสู่จุดฐานต่ำใหม่ก่อนฟื้นตัว นอกจากนี้ ราคาหุ้นช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูปันผล อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้กลับมาชอบกลุ่มนี้ หากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากฤดูปันผลระหว่างกาล เราแนะนำล็อคกำไร

 


Commodity Tracker
ค่าการกลั่นอ่อนลง แต่ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว
ภาพรวม: สัปดาห์ที่ผ่านมา น้ำมันดิบเป็นสินค้าโภคภัณฑ์เดียวที่ปรับขึ้น WoW ขณะที่สินค้าอื่นๆ ลดลง นำโดยสเปรดเคมีส่วนใหญ่ และค่าระวางคอนเทนเนอร์
น้ำมันดิบ: อิง Dubai เฉลี่ยปรับขึ้น 0.85 เหรียญ WoW สู่ 68.81 เหรียญ/บาร์เรล หนุนโดยความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครนที่รุนแรงขึ้น และสต๊อกน้ำมันสหรัฐฯ ที่ลดลง
ค่าการกลั่น (GRM): Singapore GRM เฉลี่ยอ่อนลง 0.18 เหรียญ WoW สู่ 4.09 เหรียญ/บาร์เรล โดย Gasoline spread +0.09 เหรียญ WoW สู่ 12.05 เหรียญ/บาร์เรล จากดีมานด์เอเชียเหนือและปัญหาการปิดซ่อมโรงกลั่น ขณะที่ Jet fuel -0.67 เหรียญ สู่ 14.55 เหรียญ/บาร์เรล และ Diesel -0.27 เหรียญ สู่ 15.81 เหรียญ/บาร์เรล จากซัพพลายที่มากขึ้น ด้านน้ำมันเตา -1.02 เหรียญ WoW สู่ -5.61 เหรียญ/บาร์เรล
เคมีภัณฑ์: สเปรดส่วนใหญ่ลดลงตามต้นทุนนาฟทาที่สูงขึ้น Ethylene -7 เหรียญ WoW สู่ 214 เหรียญ/ตัน, Propylene -7 เหรียญ สู่ 177 เหรียญ/ตัน, HDPE -12 เหรียญ สู่ 362 เหรียญ/ตัน, PP -22 เหรียญ สู่ 372 เหรียญ/ตัน
ถ่านหิน: NEX ทรงตัวที่ 111.11 เหรียญ/ตัน จากดีมานด์ที่คงที่ในภูมิภาค
ค่าระวางเรือ: BDI ลดลง 83 จุด WoW (-4%) สู่ 1,950 จาก Capesize -11% WoW ขณะที่ Panamax +5% และ Supramax +4% WoW ส่วน WCI (Container) ลดลงอีก 99 จุด (-4% WoW) สู่ 2,250
Fundamental view: ความคาดหวังว่าภาวะสงครามการค้าจะคลี่คลายหลังสหรัฐฯ เจรจากับคู่ค้าสำคัญสำเร็จ ยังเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโภคภัณฑ์ โดยหุ้นเด่นยังคงเป็น TOP (GRM ยังสูงและ Valuation ถูก), IVL (คาดกำไร 2H25 ฟื้นตัว HoH), และ PTTGC (คาดผลการดำเนินงานดีขึ้น QoQ ใน 3Q25)

 

 

TPIPL
(Visit Note)
ทีพีไอ โพลีน
แนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q25 ดีขึ้น QoQ แต่กำไรปีนี้อาจมี downside risk
ภาพรวม 2Q25 TPIPL รายงานกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติที่ 940 ล้านบาท ทรงตัว YoY แต่ลดลง 21% QoQ (และรายงานกำไรสุทธิที่ 561 ล้านบาท ลดลง 7% YoY และ 22% QoQ) ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์ (ปริมาณขายและราคาขายสูงขึ้น) กลบผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงของธุรกิจ Specialty Polymers (ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ลดลง) และธุรกิจไฟฟ้า (Adder ของโรงไฟฟ้าบางส่วน หมดอายุเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา)
แนวโน้มธุรกิจซีเมนต์เติบโต QoQ ต่อเนื่องใน 3Q25 ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ปูนซีเมนต์ในไทย, การปรับขึ้นราคาขายในปูนซีเมนต์ไทย, และโครงการลดต้นทุนต่างๆ รวมทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงจากคดีความ ที่มีข่าวความคืบหน้าออกมา คือ คดีความที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่นอกเขตประทานบัตร/ทำเหมืองแร่ในเขตประทานบัตรผิดเงื่อนไข ปัจจุบันศาลฎีกา มีคำพิพากษาไปแล้ว 4 คดี (ยังเหลืออีก 1 คดี ในลักษณะเดียวกัน) สรุปได้ ดังนี้

1) บริษัทอยู่ระหว่างชำระหนี้ โดยเลือกการนำแร่หินฯ ไปถมกลับคืนยังพื้นที่เดิมที่ทำเหมืองแร่พิพาท (รวม 35.4 ล้านตัน สำหรับ 4 คดี)
2) คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวราว 10-15 บาท/ตัน (อาจบันทึกในงบการเงินงวด 3Q25)
3) ส่วนอีก 1 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา (ต้องถมแร่หินฯ คืน 12.5 ล้านตันหรือชำระเงิน 1.6 พันล้านบาท)
4) ผู้บริหารชี้แจงว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินของบริษัท แต่ประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการจัดอันดับเครดิต (อยู่ระหว่างการพิจารณาของ TRIS)
Valuation: ถึงแม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น trailing PER ที่ 11.1 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 11.7 เท่าอยู่ 5%) แต่เรามองว่าผลการดำเนินงานปีนี้อาจมี downside risk เราจึงแนะนำ wait-and-see

 

 


TQM
(Visit Note)
ทีคิวเอ็ม อัลฟา
เน้นประคองตัว...รอแรงเสริมจากธุรกิจประกันชีวิต
กำไรสุทธิ 2Q25 เท่ากับ 164 ล้านบาท ลดลง 16% YoY และ 28% QoQ ผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว กดดันให้รายได้จากการบริการ 2Q25 ลดลง 2% YoY และ 15% QoQ นอกจากนี้ gross margin 2Q25 ก็ปรับลดลงมาที่ 46.8% จาก 50.4% ใน 2Q24
ทั้งนี้ เราคาดแนวโน้มกำไร 3Q25 จะลดลง YoY (Gross margin อ่อนตัวลง) แต่ฟื้นตัว QoQ (รายได้รวมปรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล)
TQM ยังคงเป้ารายได้รวมปี 2025 เติบโต 5-10% YoY แต่เราประเมินว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทาย จากเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยที่ลดลง เพราะผู้บริโภคมีการใช้รถยนต์นานขึ้น
สำหรับธุรกิจประกันชีวิต TQM เตรียมบุกตลาดมากขึ้นตั้งแต่ 2H25 เป็นต้นไป จากการเน้นขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้กลุ่มลูกค้าเดิมของบริษัทที่มีมากกว่า 3 ล้านราย โดยเราประเมินว่าการขยายธุรกิจประกันชีวิตจะใช้เวลาอีก 1-2 ปีก่อนที่จะเริ่มมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างรายได้ของบริษัท
Our view: แม้ Valuation metrics ของ TQM และ dividend yields ที่ราว 7% จะใกล้เคียงกับกลุ่มธนาคาร แต่เชิงเปรียบเทียบ กลุ่มธนาคารน่าสนใจมากกว่า TQM เพราะเรายังเห็นความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับลดประมาณการกำไรของ TQM ลงได้อีกใน 2H25 ขณะที่แนวโน้มกำไรกลุ่มธนาคาร แม้ไม่ได้มองดี แต่ดูมีความผันผวนน้อยกว่า TQM

สรุปประเด็นจาก Quick take

CPAXT
ซีพี แอ็กซ์ตร้า
โครงการบ้าน The Forestias ได้รับสินเชื่อ 22,000 ลบ. จาก SCBX
โครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ The Forestias แจ้งได้รับเงินสนับสนุนสินเชื่อ 2.2 หมื่นลบ.จากธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อก่อสร้างโครงการส่วนที่อยู่อาศัยให้แล้วเสร็จในปี 2026
View from fundamental: เรามองเป็น sentiment บวกต่อราคาหุ้น CPAXT ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของ MQDC (ผู้ลงทุน The Forestias) และผลบวกเชิง Traffic ที่ CPAXT ลงทุน Lotus's mall บางนา (The Happitat) บริเวณใกล้เคียงโครงการที่อยู่อาศัยดังกล่าว ทั้งนี้ โครงการ Happitat อยู่ระหว่างก่อสร้างและคาดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบใน 1H26

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

รอ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้หุ้นพัก นักลงทุนรอจับตา ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกฯ ใน 29 ส.ค. นี้...

SSP เตรียม COD โซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น Q4/68

SSP เตรียม COD โซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น Q4/68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้