Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

87

 


ภาพตลาดและแนวโน้ม


KEY FINDINGS:

สหรัฐฯ — ตลาดหุ้นเริ่มเผชิญแรงขายหลังขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ขณะที่เครื่องมือชี้วัด Sentiment ส่งสัญญาณมิกซ์: Fear & Greed Index ลดลง, Put/Call Ratio ปรับขึ้น และผลสำรวจ AAII แม้ Bearish ลดลงเล็กน้อย แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว สะท้อนบรรยากาศการลงทุนที่เปราะบางในระยะสั้น

ไทย — SET Index ปรับลง 1.8% และ BLS Greed & Fear Barometer ลดลงครั้งแรกในรอบหกสัปดาห์ สะท้อนว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนเริ่มอ่อนแรงลง ทำให้ตลาดมี

แนวโน้มเข้าสู่ช่วงพักฐานเช่นกัน

US MARKET SENTIMENT TRACKER:
หลังจากวิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งถูกกดดันจากความกังวลด้านมูลค่าและความตึงตัวของราคาหุ้น เครื่องมือชี้วัด Sentiment สะท้อนภาพที่แตกต่างจากช่วงก่อนหน้า—CNN Fear & Greed Index ลดลงจาก 65 เหลือ 56 จุด แม้ยังอยู่ในโซน Greed แต่การถอยตัวดังกล่าวมักเป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มเข้าสู่โหมดระมัดระวัง โดยค่า Put/Call Ratio ขยับขึ้นจาก 0.63 เป็น 0.67 สอดคล้องกับที่เราประเมินไว้ และยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบต่อตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่น้อยลง โดยนักลงทุนมีมุมมองฝั่ง Bearish ลดลงจาก 46.2% เหลือ 44.8% (แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.2%) ขณะที่มุมมองฝั่ง Bullish เพิ่มขึ้นจาก 29.9% เป็น 30.8% (แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.6%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับเพิ่มขึ้น 2.3% เป็น -14.0% ส่วนผลสำรวจพิเศษของ AAII ในสัปดาห์นี้ สอบถามถึงมุมมองต่อ earnings guidance ของบริษัทในช่วงประกาศงบล่าสุดพบว่า 40% บอกว่าใกล้เคียงกับที่คาด, 35% บอกว่าดีกว่าคาด, 4% บอกว่าแย่กว่าคาด ที่เหลือ 21% บอกว่าไม่แน่ใจ/ไม่มีความเห็น


THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยดัชนี SET เผชิญแรงขายทำกำไรในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปรับตัวลง 1.8% หลังจากไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 1280 จุดได้ ขณะที่มาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ หกสัปดาห์จาก 59 เป็น 56 คะแนน องค์ประกอบย่อยอ่อนแอลงในทุกมิติ โดย เฉพาะอย่างยิ่งดัชนี Bull-to-Bear ที่ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า Upper-bound เล็กน้อย หลังจากแกว่งเหนือระดับดังกล่าวต่อเนื่องมา 5 สัปดาห์ โดยปรับลงจาก 65.6% เหลือ 56.0% ดัชนี Momentum Strength ที่ปรับลงเช่นกัน จาก +37 จุดเป็น +27 จุด ดัขนี Volume Index ที่ปรับลงครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์ รวมถึงความผันผวนตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

IMPLICATION:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนและเผชิญแรงขายทำกำไรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่บรรยากาศการลงทุนยังคงสัญญาณมิกซ์จากเครื่องมือชี้วัด Sentiment ที่ขัดแย้งกัน โดย CNN Fear & Greed มีการปรับลดลง ขณะที่ Bull-Bear Spread ที่สำรวจโดย AAII กลับปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สะท้อน mixed sentiment regime ซึ่งในอดีตมักนำไปสู่การปรับฐานระยะสั้นจากแรงขายทำกำไร มากกว่าการเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดขาลงในระยะกลาง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย การที่ BLS Greed & Fear Barometer ลดลงครั้งแรกในรอบหกสัปดาห์เป็นสัญญาณเตือนว่ารอบฟื้นตัวอาจหมดแรงในระยะสั้น พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนวัฏจักรที่เปลี่ยนจาก Greed phase สู่ cooling-off phase โดยแรงขายทำกำไรเริ่มปรากฏในหุ้นบางกลุ่ม และมีแนวโน้มจะขยายวงกว้างออกไปสู่กลุ่มอื่นมากขึ้น กลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงควรเน้นการทยอยแบ่งขายทำกำไร และรอจังหวะเข้าซื้อใหม่เมื่อ sentiment อ่อนตัวลงสู่โซน Neutral หรือต่ำกว่า แทนการเพิ่มน้ำหนักทันทีในขณะนี้

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET บวกแล้วย่อทำกำไร แต่ยังพบว่ากลุ่มปิโตรเคมียังบวกต่อร้อนแรงทั้ง PTTGC SCC IVL แต่ก็เห็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์บวกมาด้วย DELTA HANA CCET ขณะที่ตัวกดดันตลาด คือ THAI และกลุ่มธนาคาร

แนวโน้มตลาดวันนี้
Selective buy
เราคงกลยุทธ์เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัวในภาวะที่ตลาดหุ้นไทย “พักแต่พร้อมรีบาวด์”ในกรอบ 1230-1270 จุด ตามที่เราเห็นการตอบรับของราคาหุ้นจากประเด็นบวกโผล่มาหนุน เช่น ธนาคารกลางอินโดนีเซียสั่งลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เหลือ 5% หวังกระตุ้นเศรษฐกิจอินโดฯ, เกาหลีใต้สั่งบริษัทปิโตรเคมีปรับลดกำลังการผลิต, กระแสข่าวที่ รมว.พาณิชย์สหรัฐฯกำลังพิจารณาให้รัฐบาลกลางเข้าถือหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปฯที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ CHIPS Act เช่น ไมครอน TSMC ซัมซุง
อิงกระแสการลงทุนลักษณะนี้ เราคาดหุ้นกลุ่มถัดไปที่น่าจะเล่นตาม ได้แก่ นิคมฯ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (การขยายกำลังการผลิต การเข้าลงทุนเพิ่ม), หุ้นส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรฯ และผลิตผลต่อเนื่องปิโตรฯ, โรงไฟฟ้า จากโอกาสเพิ่มกำลังการผลิตในฝั่งนี้เพื่อชดเชยกำลังผลิตภูมิภาค และการขยายตัวของเศรษฐกิจภูมิภาค
นอกจากนี้แนวโน้มค่าเงินบาทที่กำลังอ่อนค่า เราคาดว่าจะเป็นตัวแปรหนุนหุ้น กลุ่มนิคม และส่งออก
ส่วนปัจจัยมหภาคอื่น เช่น “Jackson Hole” กับทิศทางดอกเบี้ยเฟด, คดีนักการเมือง ในประเทศ ระยะสั้นอาจเป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามรอความชัดเจน แต่เราเชื่อว่าราคาหุ้นรายตัวจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยมหภาคเหล่านี้ และเมื่อได้ข่าวดีสนับสนุนการแรลรี่ของราคาในช่วงนี้ เราแนะกลยุทธ์ Selective buy

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลระหว่างกาลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร


วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET รีบาวด์ แต่ขึ้นไม่ไกลเนื่องจากโครงสร้างระยะสั้นยังอยู่ในคลื่นขาลง corrective wave a-b-c ปัจจุบันเข้าสู่รอบของการรีบาวด์ “b” wave โดยคุณสมบัติของคลื่นนี้ จะเป็นสัญญาณแค่ฟื้นตัว ขึ้นไม่ไกล จุดสำคัญคือดัชนีขึ้นแต่จะไม่สามารถทำจุด high หรือเกินกว่า 1,283 จุด หลังจากนั้นจะมีการปรับตัวลงอีกครั้ง ทิ้งไผ่ใบสุดท้าย wave (c) นั่นเอง...นอกจากนี้โมเมนตัม MACD alert! ช่วยกันเตือน ดังนั้นแผน เทรดเล่นรอบ หากดีดเข้าใกล้โซนต้าน 1,270 ขึ้นไป อาจต้องระมัดระวัง แรงขาย ทำกำไรระยะสั้น!

สรุป: แนวโน้มปรับฐานก่อนเพื่อทำทรงขาขึ้นรอบถัดไป เป้าหมาย 1,330 จุด ยังลุ้นได้อยู่
ไฮไลท์หุ้นแนะนำ: SCC ติดเครื่อง….ไม่รอแล้วนะ!/ เกาะกระแส IPHONE 17 ….ใกล้เปิดตัวแล้ว!/ หุ้นเด่นยังเลือกเหมือนเดิม CPF, BBL และ TOP ปิดบวก สู้ได้ตามแผน

 

What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติคดีปมคลิปเสียงนายกฯ วันที่ 29 สค.และ วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี”ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68-69
"กิตติรัตน์" จ่อชงเคาะมาตรการแก้หนี้ประชาชน หนุนเลิกดอกเบี้ย Flat Rate ในธุรกิจลีสซิ่ง
"ธุรกิจลีสซิ่ง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ซึ่งมีมูลหนี้ไม่ได้สูงมาก และผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าหนี้ ก็มีทั้งสถาบันการเงิน บริษัทลูกของสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการอิสระ ที่อาจจะไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. แต่ถือว่าเป็นเจ้าหนี้เหมือนกัน และลูกหนี้อยู่ในภาวะลำบาก และที่ผ่านมา หนี้กลุ่มนี้ไม่ได้ถูกแก้ไขจริงจัง เช่น บางรายผ่อน 5 ปี เป็นลูกหนี้ดีมาตลอด 3 ปี แต่จากเศรษฐกิจขรุขระ ส่งผลให้ความสามารถในการหารายได้ลดลง อาจขาดส่ง 3 งวด ต้องถูกยึดรถทันที คำถามคือหนี้ชนิดอื่น มีกระบวนการไกล่เกลี่ย แต่เมื่อเป็นการคำนวณดอกเบี้ยแบบ Flat Rate การจะตั้งยอดเงินต้นใหม่เพื่อเริ่มชำระใหม่ ทำให้ไม่รู้ว่ายอดคงค้างที่ถูกต้องเป็นเท่าไร เพราะการคำนวณแบบ Flat Rate ได้นำดอกเบี้ยในอนาคตเข้าไปรวมไว้ด้วยแล้ว ฉะนั้นจะไปตั้งยอดหนี้คงค้างที่ยังผ่อนไม่ครบ ว่าเป็นเงินต้นก้อนใหม่ เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ ก็ไม่ยุติธรรม จึงมองว่าตรงนี้ต้องมีการทำตารางการคำนวณขึ้นมาใหม่"
นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงหนี้เกษตรกรว่า ถือเป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจ เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ตลาดโลกที่ไม่ดี ภัยแล้ง และอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ และอีกปัจจัย คือ อัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า โดยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 15% ส่งผลกระทบกับราคาสินค้าเกษตรที่ส่งออก ซึ่งจะมีผลให้กำไรของเกษตรกรลดลงไป ทำให้เกษตรกรเดือดร้อน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งหากลไกในการดูแลเกษตรกรให้ได้รับการคุ้มครองในกรณีที่ราคาผลผลิตได้รับผลกระทบอันเกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
ตลท.จัดงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ก้าวข้ามความท้าทายสู่โอกาสลงทุนใหม่ 27-29 ส.ค.

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย.นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค.

หุ้นแนะนำวันนี้

WHAกระแสเงินลงทุนดาต้าเซนเตอร์ในไทยจากทั้ง GOOGL AWZ ฯลฯ กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง จากความชัดเจนเรื่องมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลตามข้อตกลงการค้าสหรัฐล่าสุด
แนวรับ 3.6 ต้าน 3.8 Stop loss 3.5

Tactical port เพิ่ม WHA AMATA

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Bank Sector

สินเชื่อชะลอตัวในเดือน ก.ค.
ภาพรวมสินเชื่อกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นเดือนก.ค. 25 อยู่ที่ 10.7 ล้านล้านบาท ลดลง 0.6% MoM กดดันจากสินเชื่อองค์กรและ SME ปรับลดลง โดยธนาคารที่รายงานสินเชื่อลดลง MoM นำโดย BBL, KKP, KBANK, TTB, KTB และ TISCO มีเพียงสินเชื่อของ SCB ทรงตัวได้ MoM ในเดือนก.ค. ที่ผ่านมา
เราคาดว่าสินเชื่อน่าจะทรงตัว MoM ในเดือนส.ค. เพราะเรายังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของสินเชื่อมากนัก และธนาคารน่าจะยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเราคาดว่าทิศทางสินเชื่อของกลุ่มธนาคารจะเติบโตได้บ้างใน 4Q25 จากความต้องการใช้สินเชื่อสำหรับเงินทุนหมุนเวียนและสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้น จากการเข้าช่วงเทศกาลวันหยุดยาวปลายปี ทั้งนี้ ปัจจุบันเราเห็นความเสี่ยงจากสมมติฐานสินเชื่อปี 2025 ของกลุ่มธนาคารราว 1-2% เนื่องจากประเมินว่าสินเชื่อของ KBANK, KKP และ TTB น่าจะมีความเสี่ยงของสินเชื่อในปีนี้ราว 1-3% จากสมมติฐานของเรา ส่วนแนวโน้มสินเชื่อของ BBL, KTB, SCB และ TISCO น่าจะสอดคล้องกับสมมติฐานของเรา
จากการคำนวณของเรา เราคาดว่ากำไรสุทธิสำหรับเดือนก.ค. 25 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ราว 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY นำโดยกำไรสุทธิของ BBL, SCB, KKP, KTB และ TTB โดยเราคาดกำไรสุทธิเดือนก.ค. ของ KBANK น่าจะทรงตัว YoY และแนวโน้มกำไรสุทธิเดือนก.ค. ของ TISCO น่าจะลดลง 7% YoY
Fundamental view: แม้ราคาหุ้นธนาคารยังยืนอยู่ได้ จากความหวังเงินปันผลระหว่างกาล (ราว 1-3%) แต่จากการศึกษาในอดีตในช่วงที่จะขึ้น XD ช่วงปี 2017–2020 (ในภาวะดอกเบี้ยขาลงแบบปัจจุบัน) พบว่าราคาหุ้นแบงก์มักให้ผลตอบแทนติดลบ และ underperform SET หลังผ่านวัน XD ไปแล้ว ทำให้เรามองเป็นจังหวะ "ขายทำกำไรก่อน XD" รอบนี้เช่นกัน

SAPPE
(Visit Note)
เซ็ปเป้
ผลการดำเนินงาน 2H25 จะยังคงอ่อนแอ
หลังจากที่รายงานกำไร 2Q25 ต่ำกว่าตลาดคาด และข้อมูลแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2H25 ชี้ให้เห็นว่าจะยังลดลง YoY และ HoH โดยผู้บริหารคาดเป้ารายได้ปี 2025 หดตัว 10-20% YoY สะท้อนความท้าทายส่งออก เนื่องจากตลาดสำคัญๆ มียอดขายลดลงใน 1H25 ได้แก่ เอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และสหรัฐฯ (ที่โตได้มีแค่ในไทย)
โดยผู้บริหารคาดว่า 1Q25 เป็นไตรมาสที่แย่สุดของปีนี้ และ 2Q25 คือไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ และมอง 3Q25 ผลการดำเนินงานจะยังลด YoY และ QoQ กดดันจากตลาดอเมริกา (ผลกระทบภาษีการค้า) และตลาดเอเชีย (ภาวะเศรษฐกิจ) และยังชี้ชัดว่าผลกระทบและการแก้ปัญหา อาจต้องใช้เวลา
Our view: เราคาดว่าราคาหุ้นน่าจะถูกกดดันต่อหลังจากที่เมื่อวานลดลงไปแล้ว 14% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีการค้า เศรษฐกิจโลก และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ดูยังไม่คลี่คลาย กระทบรายได้ส่งออก ทั้งนี้ แม้ Consensus จะมีการปรับลดประมาณการมาตลอดปี 2025 แต่เราคาดว่า Consensus จะปรับลดกำไรลงอีกจากข้อมูลแนวโน้ม 2H25 รวมทั้งการ De-rate PER

 


SCCC
(Visit Note)
ปูนซีเมนต์นครหลวง
แนวโน้มธุรกิจในไทยและต่างประเทศดีต่อเนื่องใน 2H25
กำไรหลัก 2Q25 เติบโต YoY หนุนโดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไทยและศรีลังกา แต่อ่อนตัวลง QoQ จากเวียดนาม และบังคลาเทศ
แนวโน้มอุปสงค์ในไทยหดตัวใน 2H25 ราว 6% YoY โดยได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ, ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา, ความเสี่ยงจากการล่าช้าของโครงการภาครัฐ แต่กลยุทธ์ทางธุรกิจช่วยหนุนผลการดำเนินงาน โดย ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (ปรับราคาขายปูนซีเมนต์ขึ้นได้) และโครงการลดต้นทุนต่างๆ ส่วนธุรกิจในต่างประเทศยังคงมีแนวโน้มเติบโตใน 2H25 ในเวียดนามและศรีลังกาจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และศรีลังกา ส่วนผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจำกัด
Our view: ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา Consensus ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 เพิ่มขึ้น 7% สะท้อนการปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์ในไทย ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PER ปี 2025 ที่ 11.2 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 14.5 เท่า อยู่ 23%) เราจึงมองว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุน

TASCO
(Visit Note)
ทิปโก้แอสฟัลท์
2H25 กำไรอ่อนกว่าปีก่อน แต่มีแรงหนุนปลายปี
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305% YoY จากฐานต่ำในช่วง 1H24 ที่งบประมาณล่าช้า แต่ลดลง 9.7% QoQ จากฝนที่มาเร็วกว่าปกติและปริมาณน้ำฝนสูง กำไรสุทธิต่ำกว่าตลาดคาด 13% เนื่องจากยอดขายยางมะตอยต่ำกว่าคาดและการตั้งสำรอง
เราคาดกำไร 3Q25 ลดลง YoY จากฐานสูงที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และทรงตัว QoQ แม้เข้าสู่ช่วงฤดูฝนในประเทศ โดยปริมาณขายยางมะตอยคาดอยู่ที่ 2.8–2.9 แสนตัน ใกล้เคียง QoQ แม้เข้าฤดูฝน จากอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศและบางส่วนจากงบกระตุ้นภาครัฐ ขณะที่ 4Q25 คาดฟื้นตัวมากกว่า 3Q25 จากงบกระตุ้นและการเบิกจ่ายงบปี 2026
Valuation: Consensus มีการปรับลดประมาณการกำไรลงอีก 13.5% หลังประกาศงบ 2Q25 เรามองตลาดสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว และ downside ของประมาณการมีจำกัด อย่างไรก็ตาม หุ้นเทรดที่ Forward PER ราว 12.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยสองปีที่ 10.6 เท่า Dividend yield ปี 2025 ที่ 6.4%

 

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

STECON
สเตคอน กรุ๊ป
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
งานใหม่เน้นเอกชน Data Center และโรงไฟฟ้า มากกว่ารัฐฯ โอกาสได้งานเบื้องต้นคาด 1.5-2.5 หมื่นล้านบาท (10-20% ของ Backlog) ธุรกิจใหม่เตรียมปิดดีล มี JV น้ำให้ DC และ JV ตัว DC
View from fundamental: เราคิดว่าโฟกัส 2H25 จะเป็นเรื่องงานใหม่ และการปิดดีลธุรกิจใหม่ มากกว่าเรื่องงบฯ ช่วงนี้เป็นจังหวะทยอยสะสม

HANA
ฮานา
ไมโครอิเล็คโทรนิคส
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
Project AI ใหม่ในส่วนของ Solid State Cooling Device จะเริ่มเข้ามาในช่วงปลายปี และเติบโตใน ปีหน้า โดยลูกค้าไม่ใช่บริษัทใหญ่ แต่มีโอกาสเติบโตสูง HANA ไม่ได้เปิดเผยยอดของ Project
View from fundamental: เราประเมินกำไรน่าจะฟื้นตัวได้ QoQ ใน 3Q25 จากยอด Write down PMS ที่หายไป แต่ภาพ Core business ยังคาดไม่ฟื้นตัวมากใน 2H25 อย่างไรก็ตามมีปัจจัยบวกจาก AI แต่คาดระยะแรกน่าจะไม่ส่งผลต่อผลประกอบการอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

 

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยกฟ้อง ทักษิณ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ข่าวใหญ่การเมือง เช้าวันนี้ ก็คือ ศาลอาญา ยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี...

ATLAS-PTG มอบเงิน 100,000 บาท สนับสนุนกองทัพไทย ดูแลทหารชายแดน

ATLAS-PTG มอบเงิน 100,000 บาท สนับสนุนกองทัพไทย ดูแลทหารชายแดน

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้