Market Wrap-Up
- SET วันที่ 21 ส.ค.68 ปิด -3.34 จุด อยู่ที่ 1,244.79 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,180 ลบ. สถาบันซื้อ 1,314 ลบ. พอร์ตโบรกซื้อ 165 ลบ. รายย่อยซื้อ 331 ลบ. และต่างชาติขาย 2,810 ลบ. NVDR มียอดขายสุทธิ 1,505 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้นPTTGC,COM7,SCGP,HANA,TU และยอดขายหุ้น KTC,TRUE,CPALL,HMPRO,ADVANC มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 1,851 ลบ.หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ SIRI,QH,MTC โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Short ใน Index Futures จำนวน 10,608 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 107,283 สัญญา ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 60 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ -0.34%, S&P500 -0.40%, Nasdaq -0.34% จากแรงขายกลุ่มสินค้าอุปโภค -1.18%,สาธารณูปโภค -0.71% ขณะที่กลุ่มพลังงาน +0.71%, วัสดุ +0.26% โดยนักลงทุนรอถ้อยแถลงของ ปธ.เฟดในการประชุมที่แจ็คสัน โฮล ช่วงค่ำวันนี้ ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -0.02% จากแรงขายกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มบริการสุขภาพ และยานยนต์ แต่ได้แรงนุหนจากกลุ่มพลังงาน, ประกัน และกลุ่มป้องกันประเทศ
- Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปรับลดลงจากแรงขายกลุ่มค้าปลีก นำโดย Walmart -4.49% หลังรายงานกำไร Q2/68 ต่ำกว่าคาด และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี Amazon, Meta Platform ปรับลดลง -1% โดยค่ำวันนี้นักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของ ปธ.เฟดในงานประจำปีของเฟดที่แจ็คสัน โฮล ซึ่งนักวิเคราะห์คาดอาจส่งสัญญาณเชิง Hawkish เนื่องจากคณะกรรมการเฟดส่วนใหญ่ในการประชุม ก.ค. ยังกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อมากกว่าตลาดแรงงานสหรัฐที่ชะลอตัวส่วนข้อมูลเศรษฐกิจวานนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 235,000 สูงกว่าคาดที่ 226,000 ราย และ US PMI รวมภาคผลิต & บริการ ส.ค. ปรับขึ้นอยู่ที่ 55.4 & คาด 53.5
- ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปิดทรง โดยกลุ่มยานยนต์ -0.4% ระหว่างรอการเจรจากับสหรัฐ เพื่อลดอัตราภาษีศุลากากรของสหรัฐที่จะเก็บกับรถยนต์นำเข้าจากยุโรป แต่ยังได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน +0.9% และกลุ่มป้องกันประเทศ หลัง ปธน.ปูตินต้องการจะได้พื้นที่ดอนบาสของยูเครน เพื่อแลกกับข้อตกลงสันติภาพ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจวานนี้ Eurozone PMI รวมภาคผลิต & บริการ ส.ค. ปรับขึ้นอยู่ที่ 51.1 สูงกว่าคาดที่ 50.7
- ตลาดหุ้นเอเขียวานนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ +0.13% สูงสุดในรอบ 10 ปี หลังแรงกดดันสงครามการค้าสหรัฐ – จีนลดลง โดยยังรอการประชุมระดับผู้นำในช่วง 2 – 3 เดิอนข้างหน้า ขณะที่ดัชนีนิเกอิ -0.65% จากแรงขายกลุ่มผู้ผลิตชิป จากความกังวลนโยบายของสหรัฐที่พยายามเข้ามาถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตชิปต่าง ๆ โดยภาพรวมนักลงทุนยังรอถ้อยแถลงของ ปธ.พาวเวลในช่วงค่ำวันนี้ ว่าจะส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยใน ก.ย. หรือไม่
- SET -0.27% ปริมาณการซื้อขาย 9 หมื่น ลบ. สถาบันซื้อ 1,314 ลบ. พอร์ตโบรกซื้อ 165 ลบ. ลบ. รายย่อยซื้อ 1,331 ลบ. และต่างชาติขาย 2,810 ลบ. โดยดัชนีปรับลดลงจากแรงขายกลุ่มขนส่ง นำโดย THAI -11.1% จากคาดการณ์กำไรในงวด Q3/68 จะชะลอตัวในช่วง Low Season กอปรช่วงที่ผ่านราคาหุ้น THAI ที่ได้ปรับขึ้นแรงรับรายงานกำไร Q2/68 ที่ดีกว่าคาด ซึ้งมาจากกำไรพิเศษจากรายการยกเลิกเช่าเครื่องบิน ดังนั้นราคาหุ้นจึงเริ่มปรับลดลงสู่ระดับที่ปกติที่เทรดบน F/PE 11 – 12X ขณะที่กลุ่มที่ช่วยหนุนดัชนี คือ ปิโตรเคมีนำโดย PTTGC, SCC, IVL หลังรัฐบาลเกาหลีได้สั่งให้บริษัทปิโตรเคมี 10 แห่ง ปรับลดกำลังการผลิตปิโตเคมีและนาฟทาลงราว 25% ของกำลังการผลิตรวม กอปรรัฐบาลอินเดียเตรียมปฏิรูปภาษี GST ใน ต.ค. จากเดิมเก็บระหว่าง 12 – 28% ลงมาอยู่ที่ 5 – 18% ซึ่งคาดจะเพิ่ม GDP อินเดียได้ 50 – 70 Bps จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอุปสงค์ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีด้วย โดยภาพรวมดัชนีหุ้นไทยยังทรงตัวรอถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลในช่วงค่ำวันนี้ และวันนี้รอฟังคำตัดสินของศาลอาญา ฯ ในคดี ม.112 ของคุณทักษิณ โดยความเห็นส่วนของนักวิชาการด้าน กม.บางส่วนประเมินมีโอกาสที่ศาล ฯ อาจยกคำร้อง
Daily Strategy
- ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,230 – 1,240 แนวต้าน 1,250 – 1,260 คาดดัชนีมีโอกาสทรงตัว ระหว่างผลการประชุม ธ.กลางที่แจ๊คสัน โฮล ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ และรอคำวินิจฉัยคดี 112 ของคุณทักษิณ ดังนั้นจึงแนะนำทยอยซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวกลุ่มปลอดภัย เช่น GULF,GPSC,CPF,GFPT / กลุ่มนิคม ฯ AMATA, WHA คาดกำไรในงวดครึ่งปีหลังยังเติบโตดี จากการลงทุนด้าน Data Center ของต่างชาติ
- SJWD* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 12.30 บาท) แนวโน้มกำไร 2H68 อยู่ในเกณฑ์ดีหนุนจากดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ การเตรียมการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานทุน การทยอยฟื้นตัวของธุรกิจหลัก โดยเฉพาะกลุ่มคลังสินค้าห้องเย็น การเปิดโครงการ Longson ของกลุ่ม SCC และการรุกขยายธุรกิจใหม่ไปยังเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ เช่น การขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิระหว่างไทย-จีน รวมถึงการบริหารจัดการ SG&A และการลดต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังจากการควบรวมกิจการ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68-69 อยู่ที่ 1 พันล้านบาท (flat YoY) และ 1.2 พันล้านบาท (+10%YoY)
- TEGH* (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 4.50 บาท) กำไรสุทธิ 2Q68 อยู่ที่ 211 ลบ.(+110%YoY, +20%QoQ) แม้จะมีแรงกดดันจากธุรกิจยางที่อ่อนตัว QoQ บ้างจากราคาขายที่ลดลง แต่มีแรงหนุนจาก Fx Gain และ ธุรกิจปาล์ม(ตามSeasonal Effect, มีการติดตั้ง Boiler ลูกใหม่/ Sterilizer ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น) ส่วนการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง แม้มีโอกาสชะลอตัวจากฐานสูงในช่วงครึ่งแรก แต่ภาพรวมคาดจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีตามการเพิ่มสัดส่วนยางEUDR นอกจากนี้ TEGH* ยังมี Story การ Spinoff TEBP (ธุรกิจกากอินทรีย์, Biogas, ไฟฟ้า)ปัจจุบัน ตลาดคาดกำไรสุทธิของ TEGH* ปี68 และ69 ที่ 675 ลบ.(+21%YoY) และ 782 ลบ.(+16%YoY)
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI ต.ค.+$0.81 อยู่ที่ $63.52 / บาร์เรล, Brent ต.ค. +$0.83 อยู่ที่ $67.67/บาร์เรล ได้แรงหนุนหลัง EIA รายงานสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง 6 ล.บาร์เรล และรอการเจรา 3 ฝ่าย ระหว่างรัสเซีย ยูเครน สหรัฐ เพื่อยุติสงครามในยูเครน
Gold Update(+) Comex Gold ธ.ค.+$1.10 อยู่ที่ $3,383.70 /ออนซ์ ปิดทรงตัวรอถ้อยแถลงของ ปธ.เฟดในการประชุมแจ็คสัน โฮล ช่วงค่ำวันนี้
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ขายสุทธิ -7.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นไทย -49.20 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และซื้อหุ้นอินโดฯ +41.86 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าอยู่ที่ 32.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัวอยู่ที่ 4.324 %
(-) ดัชนี BDI วานนี้ -34 จุด อยู่ที่ 1,893
(-) BitCoin เช้านี้ -2.01% อยู่ที่ 112,363 ดอลลาร์สหรัฐ
(-) National Core CPI ญี่ปุ่น ก.ค.อยู่ที่ 3.10% สูงกว่าคาดที่ 3.0% YoY
Economic Calendar
ในประเทศ
27 ส.ค. รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ฉบับย่อ
29 ส.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย
สัปดาห์ที4 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วน
ยานยนต์
กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ
สัปดาห์ที5 สศค.รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค,
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค
สศอ. แถลงดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม
ต่างประเทศ
22 ส.ค. US คำกล่าวของนายพาวเวลล์ (Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐ
25 ส.ค. US อดขายบ้านใหม่ ( ก.ค.)
26 ส.ค. US รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากซีบี ( ส.ค.)
28 ส.ค. US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
US ดัชนีจีดีพี (ไตรมาสต่อไตรมาส) (ไตรมาส 2)
29 ส.ค. US ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) ( ก.ค.)
Theme Strategy
Theme หุ้นที่มีปัจจัยบวกตามกระแส Megatend, คาดทิศทางดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง, Earning Play 2Q68, High Season ไตรมาส3, และ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Trade War สหรัฐ-จีน ลดความรุนแรงลง
(1) กลุ่มการเงิน คาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายลดลงในช่วง 2H68 NCAP*, SINGER* ,SGC* , MTC*, SAWAD*, TIDLOR*
(2) กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้ประโยชน์ตามฤดูกาลจากฤดูร้อน GULF*, GPSC*, BCPG
(3) กลุ่ม China Play คาดความตึงเครียดทางการค้าผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และรัฐบาลจีนมีโอกาสออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น SCC* ,SCGP* , PTTGC, IVL*
(4) กล่มสินค้า IT ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี ADVICE* ,COM7* SYNEX*, SIS*
(5) สินค้าจำเป็นและการบริโภคในชีวิตประจำวันที sensitive น้อยต่อกำลังซื้อในประเทศชะลอตัว เช่น CPALL , MALEE*, BJC , NSL*
(6) กลุ่มส่งออกที่ผันผวนตามประเด็นภาษีศุลกากรสหรัฐฯ เน้น เก็งกำไร เมื่อมีพัฒนการเชิงบวกของการเจรจาไทย-สหรัฐฯ เช่น DELTA*, CCET*, KCE*, TU, ITC*, ASIAN*, AAI*, COCOCO*
(7) กลุ่มร.พ.ที่ไตรมาส 2 เป็น Low Season แต่เข้าสู่ High Season ในไตรมาส3 เช่น BDMS, SKR, WPH*, PR9*
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 50% Fixed Income 35% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio August 2025: KLINIQ, CPN*, PTTGC*, GULF*, TIDLOR*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Meena Tunlayanitigun
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 033662
Tel 02-829-6999 Ext 2201
Email : meena.tu@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th