Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

90

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม

 

ดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนหลักจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ยังคงปิดบวก แต่เริ่มสะท้อนภาพการชะลอลงของโมเมนตัม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเห็นได้จากดัชนี Nasdaq 100 ที่ขยับขึ้นเพียง 0.4%
ในฝั่งตลาดตราสารหนี้ ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 7–10 ปีปรับลดลงเล็กน้อย 0.2% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 1.7% ใกล้เคียงกับราคาทองคำที่อ่อนตัว 1.8%
สำหรับตลาดหุ้นไทย ภาพรวมเริ่มสะท้อนการชะลอตัวเช่นเดียวกัน โดยดัชนีทรงตัวที่ระดับ 0% แต่ยังมีแรงหนุนในเชิงรายกลุ่มจากหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับขึ้น 3.4% อสังหาริมทรัพย์ 2.9% และขนส่ง 2.4%


ประเด็นในต่างประเทศที่น่าสนใจ

ผลประกอบการไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2025 ของบริษัทในดัชนี TOPIX โดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ตัวเลขออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยรายได้รวมแทบไม่เปลี่ยนแปลง (-0.03% YoY) ขณะที่กำไรดำเนินงาน (Recurring Profit; RP) ลดลง 8% YoY และกำไรสุทธิลดลง 11.8% YoY อย่างไรก็ดี รายได้เติบโต 0.8% YoY และตัวเลขสูงกว่าคาดการณ์ของตลาดถึง 10.4%

เมื่อเจาะรายอุตสาหกรรม พบว่าภาคการเงินมี RP เติบโต +10.1% YoY และภาคที่ไม่ใช่กลุ่มอุตสาหกรรม +3.9% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมหดตัวแรงถึง -23.9% โดยเซคเตอร์ที่มี RP โดดเด่น ได้แก่ สื่อสารสารสนเทศ (+117% YoY), อสังหาริมทรัพย์ (+24%), เครื่องใช้ไฟฟ้า (+19%) และก่อสร้าง (+15%) ส่วนกลุ่มที่อ่อนแอคือ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ (-43%), เคมีภัณฑ์ (-24%) และเครื่องจักร (-17%)

สำหรับแนวโน้มทั้งปี FY25 ตลาดคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิ -9.1% YoY อย่างไร ก็ตามความพิเศษของรอบนี้คือบริษัทญี่ปุ่นมีแนวโน้ม ไม่ปรับลดประมาณการ มากที่สุดในรอบทศวรรษ สะท้อนว่าผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจยังจำกัดหรือยากต่อการวัดผลในตอนนี้
อีกจุดที่น่าจับตาคือการประกาศซื้อหุ้นคืน ซึ่งคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 20 ล้านล้านเยนในปี FY25 สะท้อนแรงสนับสนุนต่อราคาหุ้นในภาพระยะกลาง แม้กำไรจะชะลอตัวในระยะสั้นก็ตาม

Implication: แม้กำไรญี่ปุ่นไตรมาสล่าสุดจะลดลง แต่โดยรวมออกมาดีกว่าคาด และความมั่นใจของบริษัทในการคงเป้าหมายรายได้ทั้งปียังแข็งแกร่ง ความเสี่ยงหลักยังคงอยู่ที่ภาคการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ซึ่งได้รับแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การประกาศซื้อหุ้นคืนในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงต่อไป แม้ในระยะสั้นดัชนีอาจเผชิญภาวะตึงตัวและมีโอกาสปรับฐานบ้างก็ตาม

 

ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
วันอังคาร — สหรัฐฯ: ภาคที่อยู่อาศัยตลาดจะติดตามรายงาน Building Permits (Jul) ซึ่งคาดการณ์ไว้ที่ 1.39 ล้านยูนิต ใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 1.393 ล้านยูนิต
วันพุธ — จีน: ธนาคารกลางจีน (PBoC) จะประกาศ Loan Prime Rate ทั้งระยะ 1 ปี และ 5 ปี โดยตลาดคาดว่าคงอัตราไว้ที่ 3.00% และ 3.50% ตามลำดับ การคงอัตราไว้ระดับต่ำเป็นสัญญาณว่าทางการจีนยังคงมุ่งกระตุ้นสภาพคล่องและประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ
วันพฤหัสบดี — สหรัฐฯ: ประเด็นสำคัญอยู่ที่ FOMC Minutes และงาน Jackson Hole Symposium ซึ่งนักลงทุนจะจับตาสัญญาณทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ขณะเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจจะมีการรายงาน Philadelphia Fed Manufacturing Index (Aug) ซึ่งคาดจะชะลอลงสู่ 8.1 จาก 15.9 ก่อนหน้า และ S&P Global Services PMI Flash (Aug) คาดว่าจะชะลอลงสู่ 53.3 จาก 55.7 สะท้อนแรงกดดันต่อกิจกรรมเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงทดสอบสำคัญว่าจะยังมีแรงขับเคลื่อนพอที่จะไต่ระดับต่อ หรือจำเป็นต้องพักฐานก่อน ความตึงตัวที่สะท้อนจาก Momentum Tracker และสัญญาณเชิงลบจากดัชนี sentiment หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Net New 52-week Highs and Lows หรือ McClellan Volume Summation Index ที่อ่อนแรงลง กำลังบ่งชี้ว่าแรงซื้อในรอบนี้เริ่มสูญเสียความแข็งแกร่ง
ในเชิงเทคนิค ทั้ง S&P 500 และ Nasdaq 100 ต่างเผชิญภาวะ Bearish Divergence กับ RSI ซึ่งเป็นสัญญาณคลาสสิกว่าความเร็วของโมเมนตัมกำลังชะลอลง แม้ราคาจะยังทรงตัวในโซนสูงก็ตาม
นอกจากนี้ ปัจจัยเศรษฐกิจจริงก็ไม่เอื้อเช่นกัน ยอดค้าปลีกเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวช้าลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน บ่งชี้ว่ากำลังซื้อผู้บริโภค (the mainstay ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ) กำลังอ่อนแรงลง หากรวมเข้ากับฤดูกาลที่โดยปกติแล้ว ไตรมาส 3 เป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่ตลาดจะเผชิญแรงขายทำกำไรในระยะสั้น
เมื่อนำสัญญาณจากหลายๆ ปัจจัยมาประกอบกัน ภาพที่ได้ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจต้องการการปรับฐานเพื่อรีเซ็ตโมเมนตัม ก่อนจะสะสมแรงส่งใหม่เพื่อเข้าสู่รอบขาขึ้นในช่วงถัดไป

ในฝั่งตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเคลื่อนไหวในกรอบ 4.2–4.3% ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนภาวะที่นักลงทุนยังชะลอการขยับพอร์ตการลงทุน โดยในระยะสั้น ตลาดจะยังคงให้ความสำคัญกับทิศทางของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และท่าทีจาก Fed ก่อนตัดสินใจปรับพอร์ตเพิ่มเติม ทำให้บอนด์ยีลด์มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway หรือ cautious move ต่อไป

ราคาทองคำยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ Ascending Triangle ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก (Bullish Signal) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา แม้จะมีแรงกดดันจาก Momentum Tracker ที่อยู่ในโซนตึงตัว ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรเป็นระยะ ๆ ก็ตาม
ที่น่าสังเกตคือ แม้ราคาทองคำจะปรับขึ้นแล้วกว่า 70% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่แรงขายกลับมีจำกัด โดยนับจากจุดสูงสุดเดือนเมษายนถึงปัจจุบัน มี drawdown เพียง 2.6% สะท้อนถึงแรงซื้อที่ยังคงหนุนตลาดไว้อย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นควรระมัดระวังต่อความผันผวนจาก ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจกลับมาแข็งค่า รวมถึงสัญญาณการอ่อนแรงของโมเมนตัมจากโซนตึงตัว ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะสมคือ ตั้งรับมากกว่าการไล่ราคา เว้นแต่ว่าราคาจะสามารถ breakout แนวต้าน 3,450 ดอลลาร์ ของกรอบ Ascending Triangle ได้สำเร็จ ซึ่งจะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในรอบถัดไป

ราคาน้ำมันดิบเผชิญแรงกดดันตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จากสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว กดดันต่อแนวโน้มอุปสงค์พลังงาน ขณะเดียวกัน การพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีปูตินก็จบลงด้วยบรรยากาศเชิงบวก ทำให้สหรัฐฯ ไม่ได้เพิ่มมาตรการกดดันการส่งออกน้ำมันรัสเซียเพิ่มเติม ส่งผลให้สมดุลอุปสงค์–อุปทานของตลาดยังคงผ่อนคลาย
ด้านข้อมูลจากตลาดฟิวเจอร์ พบว่าอัตราส่วน Long-to-Short ของนักลงทุนอยู่ที่เพียง 1.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 5.5 เท่า อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มราคายังเปราะบาง ภายใต้ภาวะที่ยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน
ดังนั้น ในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway มากกว่าจะเกิดการปรับตัวขึ้นแรง จนกว่าจะมีตัวเร่งใหม่เข้ามาเปลี่ยนสมดุลของตลาดพลังงาน


ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญแรงขายทำกำไรเมื่อดัชนี SET เข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 1,280 จุด ขณะที่แนวโน้มในสัปดาห์นี้คาดว่าจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มหุ้น ปัจจัยกดดันหลักมาจาก ดัชนี Bull-to-Bear ที่ยังทรงตัวในระดับสูง สะท้อนภาวะตลาดที่ร้อนแรงเกินไป ประกอบกับสัญญาณ mild overbought จาก Momentum Tracker ซึ่งเริ่มปรากฏในเซ็กเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี
ภายใต้สภาวะดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ควรเน้นชะลอการลงทุนมากกว่าการไล่ซื้อหุ้นเพิ่มเติม ทำให้จำนวนกลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำมีไม่มากนัก
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
Food: AAI, ITC, ICHI
Insurance: BLA, TLI
ICT: TRUE
หมายเหตุ – XD Calendar:
BLA: 26 สิงหาคม, 0.38 บาทต่อหุ้น
AAI: 26 สิงหาคม, 0.2031 บาทต่อหุ้น
ICHI: 27 สิงหาคม, 0.55 บาทต่อหุ้น


สรุปภาพตลาดวานนี้
ศุกร์ที่แล้ว SET ย่อลงต่อ โดย THAI เริ่มมีแรงขายออกมากดดันดัชนี ร่วมกับ DELTA BDMS GULF ADVANC ขณะที่ AOT KTB SCB TTB AWC TLI ช่วยพยุงตลาดไว้ และหุ้นบวกแรงม้ามืด เช่น SAWAD CHAYO SJWD DITTO ITEL



แนวโน้มตลาดวันนี้

โฟกัสการเมืองในประเทศ
ตามคาด! ตลาดหุ้นไทยดูจะเต็มมูลค่าโซน 1280/1300 จุด และยังไม่มีแนวโน้มจะผ่านจุดนี้ไปได้ในระยะสั้นด้วยการปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรของ บจ.ส่วนใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศงบ อาจยังไม่มากพอที่จะผลักดันดัชนี


แต่! มากพอที่จะผลักดันราคาหุ้นรายตัว ตามที่เราเห็นการปรับพิ่มประมาณการณ์กำไรและคำแนะนำ ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว เช่น COM7 CPF GFPT OSP TU ITC กลายเป็นราคาหุ้นปัจจุบันกลับมามี “Upside to fair value”

ส่วนหุ้นที่งบแย่กว่าคาด รอบนี้เราพบว่า ราคาหุ้นก็ไม่ได้ลงรุนแรงเหมือนช่วง 3-4 ไตรมาสที่ผ่านมา ด้วยราคาหุ้น ณ.ปัจจุบันไม่ได้ (ขึ้น) ถูกใส่ความความหวังสูงเหมือนในอดีต และหลายตัวอยู่ในโซนถูก ยกตัวอย่างหุ้นที่ราคาลงไม่แรงในสัปดาห์ที่แล้ว แม้งบต่ำคาด เช่น PTTGC IVL OKJ AAV เป็นต้น
ด้านปัจจัยมหภาคอื่นๆที่ต้องติดตาม และจะมีผลต่อบรรยากาศลงทุนหุ้นไทยในระยะสัปดาห์ คาดได้แก่ การเมืองในประเทศ คดีคลิปเสียงนายกฯ นัดลงมติวันที่ 29 ส.ค.นี้ นัดไต่สวนครั้งสุดท้าย 21 ส.ค. และระหว่างนี้ จะมีนักวิเคราะห์การเมืองออกมาคาดเดาผลลัพท์ ซึ่งอาจจะมีผลต่อภาวะตลาดในระยะสั้น ด้วยความกังวลหากการเบิกจ่ายงบประมาณสะดุด แต่เรามองว่าไม่น่าเป็นปัจจัยถ่วงตลาดหุ้นในระยะเดือน เพราะเมื่อผ่าน ปลายเดือน ส.ค.ต้นเดือน ก.ย.ไปได้ ประเด็นการเมืองจะเกิดความชัดเจน และปลดล็อกความอึมครึม
ส่วนบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่แรลรี่ขึ้นมารับข่าวแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ผลสำรวจประเมินว่ามีโอกาสจะลดได้ถึง 3 ครั้งในปีนี้ แม้หุ้นต่างประเทศจะขึ้นมารับข่าวและปรับฐานในท้ายที่สุด แต่! กลยุทธ์เราก็ไม่กังวล และมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็น 1 ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่น่าจะได้อานิสงส์จากเงินทุนไหลเข้าหากมีแรงขาย ตลาดหุ้นต่างประเทศ และดอลล์อ่อนค่า ตามที่ MS มีการประเมินว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่...

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล เริ่มสะสมหุ้นต้นรอบ ดักงบการเงินไตรมาส 2 และปันผลระหว่างกาล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET เริ่มสลับพัก ภายหลังขึ้นจากจุด bottom ทำผลตอบแทนสูงถึง +20%.....ปัจจุบัน SET ขึ้น test Fibonacci retracement 50% ที่ 1,280 แล้วย่อ ไม่ผ่าน! ส่งผลให้แนวโน้มระยะสั้นอาจจบคลื่นขาขึ้นย่อย 1-5 เปลี่ยนเป็น corrective wave a-b-c
ปรับฐานเพื่อลดความร้อนแรง overbought ลง ขณะที่เส้น EMA 10& 200 วันจะเปลี่ยนหน้าที่เป็นแนวรับที่ 1,240-1,250 จุด...มองลักษณะปรับฐานย่อย เพื่อไปต่อนั่นเอง จับตา “Wave 3” โครงสร้างหลัก ชี้เป้าหมายระยะกลางไว้ที่ 1,330 จุด
สรุป: แนวโน้มตลาดยังเป็นไปตามแผน ย่อแต่!ไม่ลึก หุ้นใหญ่ขายไปแล้ว รอย่อ รอซื้อกลับ ส่วนหุ้นกลาง-เล็ก มีหลายตัวกำลังขึ้นตาม SET
ไฮไลท์หุ้นแนะนำ: CPF….. Bullish signal / TTB Symmetrical triangle/ KCE double bottom!… ติดตามแผนเทรดหน้าเลือกหุ้นเด่นประจำวันครับ

 

 

What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติคดีปมคลิปเสียงนายกฯ วันที่ 29 ส.ค.และ วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี”ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68-69
สภาล่าง (สส.) ผ่านร่างงบประมาณปี 69 แล้ว ลำดับถัดไปคือ การพิจารณาของ สภาสูง
ปธน.ทรัมป์ เยือนรัสเซียครั้งล่าสุดแถลงยังไม่เก็บภาษีจีนเพิ่ม แม้จะซื้อน้ำมันรัสเซีย
นิด้าโพลแผยความพอใจของประชาชน ต่อการทำงานของ สส. ปัจจุบันในเขตเลือกตั้ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 32.29% ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา 28.24% ระบุว่า ไม่พอใจเลย ส่วนอีก 27.18% ระบุว่า ค่อนข้างพอใจและอีก 11.60% ระบุว่า พอใจมาก
สำหรับการเลือก สส. ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้งให้กลับเข้าสู่ตำแหน่ง หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 50.69% ระบุว่า ไม่เลือกรองลงมา 25.57% ระบุว่า ไม่แน่ใจและอีก 23.74% ระบุว่า เลือก
การเลือก สส. แบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองเดิมที่เคยเลือกเมื่อปี 2566 หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 40.46% ระบุว่า ไม่เลือกรองลงมา 29.47% ระบุว่า เลือกส่วนอีก 26.95% ระบุว่า ไม่แน่ใจและอีก 3.12% ระบุว่า ยังไม่เคยไป/ไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเดือน ต.ค.กับเดือน ธ.ค.จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เหลือ 3.5-3.75%

หุ้นแนะนำวันนี้
COM7
รายงานกำไร 2Q25 ที่ 1พันล้านบาทดีกว่าคาด โดยไตรมาส 3 คาดบวกแรงต่อเนื่องตามฤดูกาลเปิดตัว IPHONE 17 ใหม่ (คาดมี Earnings upward revision)
แนวรับ 24 ต้าน 26 Stop loss 23.8

 

 

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Thai Market Strategy

สรุปงบ 2Q25 & แนวโน้มกำไร 3Q25 | 8 หุ้น “เสาหลัก” (Future-proof) รายได้ยังแข็งแกร่ง/กำไรยังฟื้นต่อครึ่งปีหลัง
กำไรสุทธิไตรมาส 2 โตแรงทั้ง YoY และ QoQ; เพิ่มขึ้น 31% YoY และ 16% QoQ (สูงกว่าตลาดคาด 10.5% และสูงกว่าเราคาด 6.1%, ถ้าหักรายการพิเศษออก กำไรหลักออกมาตามคาด สำหรับ BLS coverage)

กลุ่มที่กำไรหลักออกมาเติบโต YoY นำโดย 1) กลุ่มสื่อสาร (รายได้จากบริการมือถือ–อินเทอร์เน็ตเติบโตดี ARPU เพิ่มขึ้นราว 4-6%), 2) กลุ่มอาหาร (กลุ่มเนื้อสัตว์จากราคาเนื้อหมูที่ปรับขึ้นแรง สวนทางกับราคาต้นทุนกากถั่วเหลือง และข้าวโพดที่ลดลง; กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังจากราคาต้นทุนน้ำตาลและเศษแก้วที่ลดลง), 3) กลุ่มรับเหมาฯ (รับรู้งานก่อสร้างเพิ่มขึ้น), 4) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF รับรู้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นจาก ADVANC; ในขณะที่ กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก SPP ยังโดนกดดันจากค่าไฟที่ลดลงราว 5% YoY ที่ 3.98 บาทต่อหน่วยช่วง พ.ค.-ส.ค. ลดลงจาก 4.18 บาท/หน่วยปีก่อน), 5) กลุ่มยานยนต์ ( ฐานกำไรต่ำในปีก่อน, ยอดขายรถยนต์ในประเทศไตรมาส 2 กลับมา +4% YoY ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2022, ยอดผลิต +8% YoY แม้ส่งออกยัง -5% YoY)

กลุ่มที่กำไรหลักออกมาลดลง YoY จาก 1) กลุ่มพลังงาน (ราคาพลังงานที่ลดลงกดดันกลุ่มพลังงานต้นน้ำ หักกลบกลุ่มโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น), 2) กลุ่มปิโตรฯ/วัสดุก่อสร้าง (ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ยังอ่อนแอ), 3) กลุ่มอิเล็กฯ (ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหักกลบดีมานด์ AI/data center ที่ยังแข็งแรง ขณะที่ดีมานด์สินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ยังอ่อนแอ), 4) กลุ่มโรงแรม (รายได้ต่อห้องพัก RevPar ในไทย -13% สำหรับ ERW และ -7% YoY สำหรับ CENTEL เฉพาะกทม. และ -46% YoY มัลดีฟส์), 5) กลุ่มอสังหาฯ (ยอดจองเดือนมิ.ย. ยังอ่อนแอลดลง 11% YoY ;ลง 18% YoY ไตรมาส 2, มูลค่ายอดออกโครงการใหม่หดตัว 66% YoY มิ.ย.; ลง 47% YoY ไตรมาส 2)

แม้กำไรดีกว่าคาด แต่ตัวเลข Beat to miss หรือ สัดส่วนจำนวนหุ้นกำไรดีกว่าคาดเทียบต่ำคาดถือว่าไม่ดี สะท้อนกำไรที่อาจฟื้นตัวไม่ทั่วถึง Beat-to-miss ratio ไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.9x ลดลง จากไตรมาสก่อนที่ 2.7x และค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 1.1x สัดส่วนหุ้นที่ดีกว่าคาดลดลงเหลือ 30% ในไตรมาส 2 จากไตรมาสก่อนที่ 48% และค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 38%

Earnings revision ส่งสัญญาณกำไรไตรมาส 3 ยังมีความเสี่ยง; upside จำกัดในระยะสั้น: ประมาณการกำไรตลาดยังถูกปรับลงต่อ (แม้เริ่มชะลอลง) กลุ่มที่ถูกปรับลงแรง ได้แก่ กลุ่มอสังหาฯ ท่องเที่ยว และกลุ่มเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก เช่น พลังงาน/ปิโตรฯ อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ กลุ่มที่ปรับขึ้น ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง อาหาร สื่อสาร แพคเกจจิ้ง
Implication: การปรับฐานจะเป็นจังหวะสะสม หุ้น “เสาหลัก” (Future-proof) ที่รายได้คาดยังแข็งแรงแม้เศรษฐกิจอ่อนแอ กำไรมีแนวโน้มโตต่อในไตรมาส 3, กำไรไม่ต่ำคาดรุนแรง, ไม่เห็นการปรับกำไรลงแรง 3 เดือนที่ผ่านมา และมีปัจจัยบวกหนุนการฟื้นตัวชัดเจน 8 ตัว ได้แก่
COM7 ADVICE (ยอดขายสินค้า IT ยังโตดี เดือนก.ค. เติบโตระดับ 7-8% YoY สำหรับ COM7 และมากกว่า 10% สำหรับ ADVICE), CPALL (สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินค้าพร้อมรับประทานที่มาร์จิ้นสูงจะหนุนกำไรโตต่อ), SCC (กำไรคาดพลิกโต YoY ใน 3Q25 หนุนโดยทุกธุรกิจหลัก ทั้งปิโตรเคมี – HDPE spread เดือนก.ค.-ต้นส.ค. +19% YoY, ทรงตัว QoQ; ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง – ราคาขายสูงขึ้น; ราคาปูนซีเมนต์เดือนก.ค. เพิ่มขึ้นราว 5-7% YoY; ธุรกิจแพคเกจจิ้ง - ต้นทุนลดลง; ราคาต้นทุนกระดาษรีไซเคิล RCP ลดลง 20% YoY เดือนก.ค. และราคาต้นทุนพลังงาน-ราคาถ่านหินลดลง 15% YoY), GULF ADVANC (กำลังการผลิตใหม่-Mobile ARPU คาดโตต่อราว 3% YoY), ITC (ราคาต้นทุนวัตถุดิบ-ปลาทูน่าลดลง 9% QoQ), DELTA (ความต้องการ AI และ Data center ที่ยังแกร่ง แม้ valuations แพง แต่เป็น proxy ตัวเดียวในไทย โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าที่เกี่ยวกับ Data center คิดเป็นราว 42% ของรายได้รวมไตรมาส 2)

Beverage Sector
ตลาดในประเทศยังแข็งแกร่ง แต่ต่างประเทศกดดันขึ้น
ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังไทย 1H25 เติบโต 2.5% YoY โดย OSP ยังคงครองส่วนแบ่งนำที่ 44.3% แม้ลดลง YoY ขณะที่ CBG ขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ 26.5% ในเดือน มิ.ย. กำไรยังแข็งแรงในประเทศ แต่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกัมพูชา กดดันแนวโน้ม 2H25

OSP: กำไรหลัก 2Q25 ที่ 1,010 ลบ. (+9% YoY, +4% QoQ) มี GM ขยายเป็น 41.9% จาก 38.2% ใน 2Q24 จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและสัดส่วนสินค้ามาร์จิ้นสูง สำหรับ 2H25 คาดกำไรเติบโต 10% YoY แต่ลดลง HoH จากฤดูกาลในพม่า (~20-25% ของยอดขายรวม) ธุรกิจ personal care ยังช่วยประคอง โดยครองส่วนแบ่ง 33-35% และจะเข้าสู่ high season ใน 4Q25 (ส่วนไตรมาส 3 ปกติจะย่อตัวตามฤดูกาล)

CBG: กำไรหลัก 2Q25 ที่ 800 ลบ. (+16% YoY, +5% QoQ) มี GM ที่ 39.9% หนุนจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ยอดขายในประเทศโตแรง +27% YoY แต่ต่างประเทศลดลง โดยเฉพาะกัมพูชาที่คาดหดตัวถึง 23% ในปี 2025 เราปรับประมาณการกำไรปี 2025 ลงเหลือโตเพียง 6% (จาก 12%) และปรับราคาเป้าหมายเหลือ 67 บาท (จาก 70 บาท) อย่างไรก็ตาม โรงงานที่ทำ JV ในพม่า (เริ่ม ก.ค. 2025) และธุรกิจในกัมพูชา (คาดฟื้นปลายปีนี้) จะช่วยฟื้นโมเมนตัมในปี 2026 กลับมาเติบโต
Fundamental view: เรายังคงชอบ OSP มากกว่า ด้วยจุดแข็งด้านมาร์จิ้นและพอร์ตที่สมดุล ขณะที่ CBG ยังเผชิญแรงกดดันจากตลาดต่างประเทศ แม้จะมีโอกาสฟื้นตัวในปี 2026

BLA
(Visit Note)
กรุงเทพประกันชีวิต
รุกผ่านช่องทางตัวแทน หนุนธุรกิจระยะยาว
กำไรสุทธิ 2Q25 เท่ากับ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 117% YoY และ 79% QoQ มีปัจจัยสนับสนุนจากผลการดำเนินงานธุรกิจประกันภัยเติบโต จากค่าใช้จ่ายในการเคลมประกันภัยลดลง สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรวม 2Q25 ปรับลดลง 5% YoY และ 23% QoQ กดดันหลักๆ จากเบี้ยประกันรับปีแรกผ่านช่องทางธนาคาร
ขณะที่ธุรกิจลงทุนมีรายได้จากการลงทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 43% YoY และ 45% QoQ โดยได้ผลบวกจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินเติบโต สวนทางกับรายได้จากการลงทุน (ดอกเบี้ยและเงินปันผล) ที่ลดลง

เราคาดกำไรสุทธิ 3Q25 จะปรับเพิ่มขึ้น YoY (ธุรกิจประกันชีวิตฟื้นตัว) แต่ลดลง QoQ (ค่าใช้จ่ายในการเคลมประกันภัยเพิ่มขึ้น)
BLA ยังคงเป้าเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเติบโต 5% YoY ในปี 2025 โดยจะเน้นพัฒนาช่องทางตัวแทนต่อเนื่อง เพราะเป็นช่องทางที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนได้ดี ทั้งนี้ แม้ธุรกิจลงทุนจะเผชิญแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลง แต่ก็จะได้ผลบวกจากการ mark to market เงินลงทุนมาชดเชยได้ โดยเราเห็นตลาดปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2025 ขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ประเมินว่าความเสี่ยงของประมาณการกำไรในปีนี้จำกัด ขณะที่ Valuations ก็ถือว่าไม่แพง

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

BANPU
บ้านปู
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ราคาถ่านหินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นใน 3Q25 หนุนโดยอุปสงค์ในฤดูร้อน อย่างไรก็ตามอุปทานที่มีจำนวนมากอาจจำกัดอัพไซด์ของราคา
View from fundamental: เรามองว่ามูลค่าหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนผลประกอบการ 2Q25 ที่อ่อนแอไปในราคาแล้ว กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของบริษัทจากธุรกิจถ่านหินและก๊าซน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลไว้ที่ประมาณ 6% ได้ต่อไป

 


CPF
เจริญโภคภัณฑ์อาหาร
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
CPF ชูประเด็นต้นทุนอาหารสัตว์ที่จะลดลงจากการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐ ที่ทั้งอุตสาหกรรมคาดว่าจะมีมูลค่านำเข้ารวม 8 หมื่นลบ. ซึ่ง CPF เป็นผู้ผลิตเนื้อสัตว์รายใหญ่ในอุตสาหกรรม
View from fundamental: เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CPF โดยเราชอบมากที่สุดในกลุ่มปศุสัตว์ อิงจากความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นในปี 2025

WHAUP
ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
รายได้จาก one-time charge ธุรกิจน้ำใน 2H25 จะสูงกว่า 1H25 ปี 2026 คาดเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากการขายน้ำให้ลูกค้ากลุ่ม Data Center (Upside ราว 600–700 ลบ./ปี)
View from fundamental: เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการและการจ่ายปันผล

OR
ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
แนวโน้มรายได้ช่วง 2H25 ทั้งธุรกิจ Mobility และ Lifestyle คาดว่าจะเติบโตเล็กน้อย YoY OR อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนในธุรกิจร้านอาหารใหม่ เพื่อทดแทน Texas Chicken ที่ยุติธุรกิจไป คาดว่าจะเปิดสาขาแรกได้ภายใน 4Q25
View from fundamental: เรามองว่ามูลค่าหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนแนวโน้ม 2H25 ที่ไม่น่าตื่นเต้นไปแล้ว นอกจากนี้ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ OR น่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลให้อยู่ในช่วง 3.5-4.0% ต่อไปในอนาคตได้ ซึ่งจะช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ต่อราคาหุ้น เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”

 

 

 

CENTEL
โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
บริษัทคาด RevPar ไทย ใน 3Q25 ดีขึ้น +4% YoY และ QoQ นำโดยต่างจังหวัด (พัทยา สมุย ภูเก็ต) RevPAR +10% YoY แต่ถูกถ่วงด้วยกรุงเทพฯ ที่คาด RevPAR หดตัว -4% YoY
View from fundamental: ธุรกิจโรงแรมยังเติบโตดี ยกเว้นมัลดีฟส์ที่ต้องมีการติดตามผลการดำเนินงาน ส่วนธุรกิจอาหารเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขัน

WHA
ดับบลิวเอชเอ
คอร์ปอเรชั่น
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
การย้ายฐานการผลิตจากจีนยังมี momentum ที่ดี และมี upside หากบริษัทจีนในไทยต้องใช้ local content มากขึ้น เพื่อป้องกัน transshipment tax
View from fundamental: คงเป้าการจองซื้อที่ดินปี 2025 ที่ 2,350 ไร่ และคาด margin (บาท/ไร่) ทรงตัวใน 2H25 เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มยอดจองซื้อที่ดินในช่วง 2H25

SAT
สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
คำสั่งซื้อใหม่ในปีนี้มากขึ้นจากคาดเดิมที่ 200-300 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท ส่วนใหญ่รับรู้ปี 2026-27
View from fundamental: เราประเมินกำไร 3Q25 ทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับดีขึ้นตามการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งนี้ จากแนวโน้มกำไรที่คาดทรงตัว YoY และสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราคาดว่าบริษัทจะยังสามารถจ่ายเงินปันผลที่ระดับ dividend yield ราว 10–11% ได้

 

 

CPN
เซ็นทรัลพัฒนา
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ธุรกิจ Mall เพิ่มร้านใหม่ๆและจัดกิจกรรมดึงดูดคนเข้าศูนย์ โดยเดือนก.ค.โตดีขึ้นเป็น 3% จาก 2Q25 โตเฉลี่ย 1% ธุรกิจอสังหาฯ ปรับแผนเร่งโอนบางโครงการ ให้เร็วขึ้น (escent นครปฐม) ช่วยยอดโอน 2H25 จะฟื้นแรง 290%HoH (เทียบเท่ากลับมาโต 7%YoY)
View from fundamental: ธุรกิจอสังหาฯผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เราคาดเห็นการโอนใน 2H25 ฟื้น HoH ตาม Backlog ส่วนธุรกิจหลักเริ่มรับรู้รายได้โครงการ central park ปลาย 3Q25 และเต็มปีในปีหน้า หนุนกำไรปี 2026 จะโตเด่น 14%

 

 


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หุ้นใหญ่พัก SETเหงา By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้ สภาพัฒน์ เผย เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองปีนี้ ขยายตัวร้อยละ2.8 .....

NER พบนักวิเคราะห์และนักลงทุน ประจำไตรมาส 2 /2568

NER พบนักวิเคราะห์และนักลงทุน ประจำไตรมาส 2 /2568

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้