Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

98


ภาพตลาดและแนวโน้ม

 

ดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI ปรับตัวขึ้น 2.5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียยังเผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่องจากความเสี่ยงเรื่องนโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์

ในตลาดตราสารหนี้ ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 7–10 ปีปรับลดลง 0.3% ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงแรงถึง 5.1% สวนทางกับราคาทองคำที่ปรับขึ้น 1% ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง สะท้อนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังมีอยู่

สำหรับตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้น 3.3% ทำผลงานดีกว่าดัชนีหุ้นโลก นำโดยหุ้นกลุ่มขนส่งที่พุ่งขึ้น 10.5% ตามด้วยกลุ่มโรงพยาบาล 6.5% และกลุ่มการเงิน 5.3%


ประเด็นในต่างประเทศที่น่าสนใจ


สกอต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ Nikkei Asia ว่าภาษีแบบต่างตอบแทน (reciprocal tariffs) ที่สหรัฐฯ ใช้เก็บจากประเทศคู่ค้าอาจค่อย ๆ ลดลง หากดุลการค้าปรับเข้าสู่สมดุล โดยเปรียบเปรยว่าภาษีเหล่านี้ควรเป็นเหมือน ก้อนน้ำแข็งที่กำลังละลาย ทั้งนี้ รัฐบาลทรัมป์เพิ่งปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นจาก 10% เป็น 15% ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยอัตราภาษีของสหรัฐฯ พุ่งสู่ 18.6% สูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยจุดประสงค์หลักก็คือ แก้ไขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่า 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 โดยเบสเซนต์เตือนว่าหากปล่อยให้ดุลขาดสูงต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคต
เขาย้ำว่าหากการผลิตกลับมาสหรัฐฯ และการนำเข้าลดลง ภาษีก็สามารถปรับลดหรือยกเลิกได้ พร้อมระบุว่าการเจรจากับประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลงการค้า เช่น จีน น่าจะเสร็จสิ้นภายในตุลาคม แต่ยอมรับว่าการเจรจากับจีนยาก เนื่องจากเป็นเศรษฐกิจนอกกลไกตลาด ที่ผลิตเกินความต้องการและส่งออกสินค้าราคาต่ำมากเพื่อรักษาการจ้างงานมากกว่าทำกำไร ขณะเดียวกัน ภาษีของสหรัฐฯ ยังอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น ขู่ขึ้นภาษีน้ำมันจากอินเดียเป็น 50% เพื่อให้หยุดซื้อน้ำมันรัสเซีย ทำให้การเจรจาอาจยืดเยื้อ

ในกรณีญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายตกลงภาษีนำเข้าสินค้า 15% และญี่ปุ่นให้คำมั่นจัดทำแพ็กเกจลงทุนและเงินกู้มูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเบสเซนต์มองว่าเป็นการสร้างหุ้นส่วนอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การลดภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นจาก 27.5% เหลือ 15% อาจล่าช้า โดยอ้างกรณีอังกฤษซึ่งใช้เวลา 53 วันหลังตกลงก่อนมีผลจริง
ในมุมค่าเงิน เบสเซนต์ชี้ว่านโยบายดอลลาร์แข็งไม่ได้หมายถึงค่าบนจอ แต่คือการรักษาสถานะเงินดอลลาร์ให้เป็นสกุลหลักของโลกผ่านนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมเน้นดึงดูดเงินลงทุนโดยตรง (FDI) เพื่อสร้างฐานการผลิตในประเทศ แทนการพึ่งพาเงินทุนไหลเข้ามาซื้อสินทรัพย์การเงินเพียงอย่างเดียว


การประเมินของเรา: ท่าทีของเบสเซนต์สะท้อนว่าภาษีในยุคทรัมป์ 2.0 ไม่ใช่เพียงมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์หลายมิติ ทั้งการลดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด การต่อรองทางการทูต และการกดดันประเทศคู่ค้าที่มีพฤติกรรมไม่เป็นตลาด เช่น จีน

นอกจากนี้ การเปรียบภาษีกับก้อนน้ำแข็งที่ละลายอาจสะท้อนช่องทางในการเจรจาลดความตึงเครียด หากเป้าหมายด้านการผลิตและดุลการค้าบรรลุ แต่ในเชิงโครงสร้าง สหรัฐฯ กำลังใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกระตุ้นการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ ควบคู่กับการสร้างพันธมิตรเศรษฐกิจที่ผูกโยงด้วยการลงทุนขนาดใหญ่ (เช่น ญี่ปุ่น) ซึ่งช่วยเพิ่ม leverage ให้สหรัฐฯ ในการกำหนดบรรทัดฐานใหม่ของการค้าโลก


Implication สำหรับนักลงทุน:
ตลาดหุ้น – ประเทศที่สามารถปิดดีลการค้าและได้เงื่อนไขเอื้อประโยชน์ มีแนวโน้มเห็นความผันผวนของราคาหุ้นลดลง ในทางกลับกัน ประเทศที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา (เช่น จีนและอินเดีย) ยังคงเผชิญแรงกดดันด้าน sentiment จากความไม่แน่นอน
ค่าเงินดอลลาร์ – การคงสถานะเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองโลก ผ่านนโยบายเศรษฐกิจที่สนับสนุนการเติบโต (pro-growth) และการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรง (FDI) จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อแนวโน้มการแข็งค่าของดอลลาร์ในระยะกลาง


ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
สัปดาห์นี้มีรายงานเศรษฐกิจที่น่าจับตา ได้แก่ วันพฤหัสบดี สหรัฐฯ จะรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดแรงกดดันด้านต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยตลาดคาดว่าจะขยายตัว 0.2% MoM จากเดือนก่อนที่ทรงตัว 0%
วันศุกร์ จีนจะเปิดเผยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกรกฎาคม ซึ่งตลาดคาดว่าจะชะลอลงเหลือ 5.8% YoY จาก 6.8% ในเดือนก่อน และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่คาดว่าจะทรงตัวที่ 4.8% YoY ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ จะรายงานยอดค้าปลีกเดือนกรกฎาคม (Retail Sales MoM) ซึ่งตลาดคาดว่าจะชะลอตัวเล็กน้อยเหลือ 0.5% จาก 0.6% ในเดือนก่อน


แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นท่ามกลางภาวะตึงตัวของ Momentum Tracker อีกทั้งยังมีสัญญาณเชิงลบจาก sentiment indicators อื่นๆ เช่น Net New 52-week Highs and Lows และ McClellan Volume Summation Index ที่ลดลงต่อเนื่องในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในเชิงมูลค่า ดัชนีกำลังเผชิญกับแรงกดดันในช่วงที่ Forward PE ปี 2025 อยู่ในโซนตึงตัว ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากตัวเลขเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากข้อมูลเศรษฐกิจ โดยเฉพาะยอดค้าปลีกที่มีแนวโน้มออกมาต่ำกว่าคาดจากภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแรงขายทำกำไรอีกระลอก ซึ่งตามฤดูกาลแล้ว ไตรมาส 3 มักเป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง


ในฝั่งตลาดตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเริ่มขยับกรอบ การเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทน (yield) จากระดับ 4.3–4.4% มาอยู่ที่ 4.2-4.3% โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ซึ่งช่วยเปิดทางให้ตลาดกลับมาประเมินความเป็นไปได้ที่ Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนกันยายน


ราคาทองคำล่วงหน้า (gold futures) ในตลาดนิวยอร์กผันผวนปลายสัปดาห์ หลังมีรายงานว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นมาตรฐานการซื้อขายในตลาดโลก ข่าวดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ผู้ค้าและนักลงทุน โดยเฉพาะสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกทองคำรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ราคาทองคำล่วงหน้าในนิวยอร์กพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ และพรีเมียมเหนือราคาสปอตในลอนดอนขยายตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากความกังวลเรื่องอุปทานที่จะส่งไปยังสหรัฐฯ อาจสะดุด อย่างไรก็ดี ภายหลังทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธข่าว gold futures จึงลดช่วงบวกลง
เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความไวของตลาดทองคำล่วงหน้าต่อข่าวเชิงนโยบาย โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างต้นทุนและการไหลเวียนของอุปทานในตลาดโลก ขณะที่ราคาทองคำสปอตมีการตอบสนองที่น้อยกว่า แม้ข่าวดังกล่าวจะถูกปฏิเสธในภายหลัง แต่ปฏิกิริยาของราคาและการขยายตัวของพรีเมียมระหว่างตลาดนิวยอร์ก–ลอนดอน สะท้อนว่าตลาดยังคงอ่อนไหวสูงต่อนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
ในระยะสั้น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ แต่สัญญาณตึงตัวของ Momentum Tracker อาจกดดันการปรับขึ้น ส่งผลให้ราคาอาจเคลื่อนไหวผันผวนภายใต้แรงหนุนและแรงกดดันที่ขัดแย้งกัน


ราคาน้ำมันดิบเผชิญแรงกดดันตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จากสัญญาณเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว กดดันต่ออุปสงค์พลังงาน ประกอบกับมติของกลุ่ม OPEC+ ในการเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ Brent หลุดแนวรับสำคัญที่ 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ด้านข้อมูลจากตลาดฟิวเจอร์ชี้ว่าอัตราส่วน Long-to-Short ของนักลงทุนยังอยู่เพียง 2.0 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 5.5 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความเชื่อมั่นที่ยังเปราะบาง จึงทำให้ราคา Brent มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 62–68 ดอลลาร์ในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงด้านอุปทานยังสร้าง upside risk ให้กับราคา โดยเฉพาะการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีปูตินในปลายสัปดาห์นี้เพื่อเจรจายุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน หากการเจรจาล้มเหลว มีโอกาสที่สหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าอินเดีย เพื่อกดดันไม่ให้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้


ตลาดหุ้นไทยเริ่มเผชิญแรงขายทำกำไรเมื่อดัชนี SET เข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 1,280 จุด ขณะที่แนวโน้มสัปดาห์นี้คาดว่าความผันผวนจะเพิ่มขึ้นจากแรงขายดังกล่าว โดยมีปัจจัยกดดันจากดัชนี Bull-to-Bear ที่ยังอยู่ในระดับสูง และสัญญาณ mild overbought ของ Momentum Tracker ที่เริ่มปรากฏในเซคเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี เป็นต้น
Quant Focus List สัปดาห์นี้:
 Finance: JMT
 ICT: JMART, SYNEX
 Insurance: TLI
 Healthcare: BDMS
 Utilities: GULF

 

 


สรุปภาพตลาดวานนี้

ศุกร์ที่แล้ว SET ย่อก่อนหยุดยาว โดยเป็นการขายทำกำไรหุ้นใหญ่กระจายๆ แต่ยังเห็นมีแรงซื้อในหุ้น THAI และธนาคาร KTB KBANK SCB BBL รวมทั้ง Commodities บางกลุ่มอย่างโรงกลั่น TOP เรือ RCL เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้

สะสมหุ้น High Div.Stocks
หุ้นไทยสัปดาห์ที่แล้วขึ้นทดสอบเป้าหมายปลายปี BLS Research 1,280 จุด สะท้อนพื้นฐานการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียน 7% EPS82 PE 15.7x GDP1.4% จากอัตราภาษีตอบโต้สหรัฐฯ-ไทย ดีลจบที่ 19% และทำให้ Upside หุ้นไทยในระยะสั้นเต็มมูลค่า

แนวโน้มสัปดาห์นี้คาดตลาดหุ้นไทยพักฐานในกรอบแนวรับ 1,230 จุด โดยเป็นการพักฐานปกติยังไม่ถึงขึ้นทิ้งดิ่งลงและจบรอบหลุด 1,200 จุด การพักฐานครั้งนี้คาดเกิดจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นหลังตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นมาถึงแนวต้าน 1,280/1,300 และเป้าหมายปลายปีตามที่ BLS Research ประเมิน แต่การเลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่เราแนะนำหลังจากดัชนีชนเป้าหมาย โดยอิงแนวทางเลือกหุ้นจาก โอกาสรับปันผลระหว่างกาลที่สูงขึ้น ตามกำไรที่ดีกว่าคาด แทนการเล่นหุ้นรับกระแสลงทุนในตลาด เช่น หุ้นรับดอกเบี้ยขาลง, ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ฯลฯ

โดยหุ้นปันผลสูง ที่เราเห็นโอกาสจะจ่ายเงินปันผลได้เพิ่มขึ้น เช่น KTB (กำไรจากเงินลงทุนในหุ้น THAI) TU ITC (ผลตอบแทนเงินปันผลสูงระหว่าง 5-10%) หุ้นที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นเป็นกลุ่มเดียวกัน และเห็นสัญญาณของการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นจากตัวอย่างหุ้นในเครือที่ประกาศปันผลไปแล้ว เช่น หุ้นในเครือ ปตท. และ/หรือ หุ้นกึ่งรัฐวิสาหกิจที่ถือผ่าน กระทรวงการคลัง/กองทุนวายุภักษ์ เป็นต้น ซึ่งหุ้นในลักษณะนี้เราคาดว่า ราคาหุ้นจะได้อานิสงส์จากปันผลที่สูงขึ้นตามตรรกะที่เราประเมิน บวกกับแรงซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านล่าง และเข้าธีมดอกเบี้ย-เงินเฟ้อในประเทศขาลง ด้วยผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงชนะเงินเฟ้อและเงินฝากฯ
กลยุทธ์แนะนำถือหุ้นตามพอร์ตที่เราแนะนำ โดยเฉพาะหุ้นปันผล และหาจังหวะเพิ่มการซื้อเก็งกำไร หุ้นที่เห็นแนวโน้มของการปรับประมาณการณ์กำไร และ การปรับเพิ่มคำแนะนำ หุ้นรายตัวจากนี้ไป (เช่นล่าสุดเราเพิ่ม TU ITC)

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล เริ่มสะสมหุ้นต้นรอบ ดักงบการเงินไตรมาส 2 และปันผลระหว่างกาล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET มุมมองระยะกลางปรับตัวขึ้นโดดเด่น +20% ขึ้นจากจุด bottom บริเวณ 1053 จุด ใช้เวลาเพียง 1 เดือนนิดๆ ทะลุ previous high & EMA 200 วัน สำเร็จ! เคลื่อนที่อยู่ในคลื่นหลัก Wave III …strong ที่สุด ทำนายเป้าหมายถัดไปจะอยู่บริเวณ 1,330 (Fibonacci retracement 61.8%) แต่!การจะขึ้นต่ออาจต้องสลับพักบ้าง เพื่อลดดีกรีความร้อนแรงลง ขณะที่เส้น EMA 200 วันจะเปลี่ยนหน้าที่เป็นแนวรับที่ 1,240 จุด เข้าสู่การปรับฐาน Corrective Wave a-b-c ย่อย หากหุ้นใหญ่พัก ตลาดพัก หุ้นกลาง เล็กสัปดาห์นี้มีโอกาสกลับมาคึกคัก! ไฮไลท์หุ้นแนะนำ: วันนี้เลือก “THCOM จ่อทะลุ EMA 200 / CBG Ending diagonal หุ้นลง เพิ่งประกาศงบ 2Q25 น่าซื้อสวนหรือไม่ / KTC กราฟสวย ภายหลังถูกเพิ่มเข้าสู่ MSCI Small Cap…..ติดตามแผนเทรดหน้าเลือกหุ้นเด่นประจำวันครับ


What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญ ขยายเวลา(เป็นครั้งสุดท้าย) ให้นายกแพรทองธาร ชี้แจงปมคลิปเสียง วันจันทร์ที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งต้องติดตามคำสั่งวันวินิจฉัยคดี หลังจาก วันที่ 4 ส.ค. อีกครั้ง รวมถึง วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี”ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” แนะติดตามไทม์ไลน์คดีการเมืองในประเทศ เพราะ การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปถึงยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 69
Consensus คาดแบงก์ชาติมีโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ เหลือ 1.5% จาก 1.75%
เศรษฐกิจภูมิภาคกลับมาขยายตัวสูง ในไตรมาสที่ 2/25 เช่น ฮ่องกง +3.1%, มาเลเซีย +4.5%, ไต้หวัน +8%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน ไปจนถึงเวลา 00:01 น. ของวันที่ 10 พ.ย. เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนจะกลับไปสูงถึงเลขหลักร้อย ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกประกาศพักการเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นกัน ทั้งยังเลื่อนการเพิ่มรายชื่อบริษัทสหรัฐฯ ที่ได้ระบุไว้ในเดือนเม.ย. เข้าสู่บัญชีจำกัดการค้าและการลงทุนออกไปอีก 90 วัน
เดิมที ข้อตกลงพักรบทางภาษีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีกำหนดจะสิ้นสุดในวันนี้ (12 ส.ค.) เวลา 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก หรือ 11:01 น. ของวันนี้ตามเวลาไทย คำสั่งดังกล่าวจึงช่วยยับยั้งไม่ให้อัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนพุ่งสูงถึง 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนต่อสินค้าสหรัฐฯ พุ่งแตะ 125%
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเดือน ต.ค.กับเดือน ธ.ค.จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เหลือ 3.5-3.75%

หุ้นแนะนำวันนี้
ITC งบออกมาดีขึ้นและ BLS research มีการปรับเพิ่มคำแนะนำ
แนวรับ 14.3 ต้าน 15.5 Stop loss 14

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Commodities Tracker
ค่าการกลั่นเด่นสุด
ภาพรวม: GRM ปรับขึ้นแรงสุด WoW ตามด้วยสเปรดเคมีส่วนใหญ่ ขณะที่น้ำมันดิบและค่าระวางเรือแห้งปรับลดลงแรงสุด การคาดหวังว่าภาวะสงครามการค้าจะคลี่คลายหลังสหรัฐฯ เจรจากับ คู่ค้าสำคัญสำเร็จ อาจหนุนราคาหุ้นที่เชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์ให้ฟื้นตัว
น้ำมันดิบ: Dubai เฉลี่ยลดลง 3.57 เหรียญ WoW สู่ 69.94 เหรียญ/บาร์เรล จากความกังวล อุปสงค์สหรัฐฯ ที่อ่อนลง แม้ความเสี่ยงซัพพลายรัสเซียคลี่คลาย
ค่าการกลั่น (GRM): Singapore GRM เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.05 เหรียญ WoW สู่ 3.81 เหรียญ/บาร์เรล จาก crack spread ที่ดีขึ้นเกือบทุกประเภท น้ำมันเบนซิน +1.71 เหรียญ WoW สู่ 8.79 เหรียญ/บาร์เรล, Jet fuel +0.45 เหรียญ สู่ 15.65 เหรียญ/บาร์เรล, HSFO +2.62 เหรียญ สู่ -4.48 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ดีเซล -0.85 เหรียญ สู่ 16.41 เหรียญ/บาร์เรล
เคมีภัณฑ์: ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว แต่สเปรดขยายตามต้นทุนนาฟทาลดลง Ethylene +19 เหรียญ WoW สู่ 205 เหรียญ/ตัน, Propylene +29 เหรียญ สู่ 170 เหรียญ/ตัน, HDPE +19 เหรียญ สู่ 365 เหรียญ/ตัน, PP +9 เหรียญ สู่ 385 เหรียญ/ตัน
ถ่านหิน: NEX เพิ่มต่ออีก 1.75 เหรียญ WoW (+2%) สู่ 116.02 เหรียญ/ตัน จากแรงซื้อในภูมิภาค
ค่าระวางเรือ: BDI ลดลง 81 จุด WoW (-4%) สู่ 1,989 จาก Capesize -6% และ Panamax -4% ส่วน Supramax +2% WoW สู่ 1,297 ส่วน WCI (Container) ลดลงอีก 75 จุด (-3% WoW) สู่ 2,424
Fundamental view: หุ้นเด่น TOP (Valuation ถูก-ได้อานิสงส์จากต้นทุนดิบลดลง), IVL (คาดกำไร 2H25 ดีขึ้น HoH), PTTGC (คาดการดำเนินงานดีขึ้น QoQ ใน 3Q25)



รายงานผลประกอบการวันนี้

 


(+) GULF รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 63,871 ล้านบาท หักรายการพิเศษหลักๆ จากการรวม INTUCH จะได้กำไรหลักอยู่ 7,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% QoQ (YoY ยังไม่มีงบฯ จำลองเปรียบเทียบ) สูงกว่าที่เราคาด 7% (แต่เป็นไปตามตลาดคาด) จากรายได้มากกว่าคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ ขยายตัว QoQ ต่อ เราคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 72 บาท

 

(+) WHAUP รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 141 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 232 ล้านบาท ลดลง 25% YoY แต่เพิ่มขึ้น 2% QoQ สูงกว่าที่เราคาด 9% แต่ต่ำกว่าตลาดคาด 13% แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ ลดลง YoY จาก Gheco-I และค่าไฟ แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากการับรู้รายได้เพิ่มจากลูกค้า Data Center เราคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 5 บาท


(+) SIS รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 191 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% YoY และ 36% QoQ ดีกว่าที่เราคาด 22% จาก GM กลุ่มมือถือที่สูงกว่าคาด เพราะมี rebate จากคู่ค้าเข้ามางวดนี้ อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ ลดลง YoY, QoQ เราแนะนำเพียงถือ


(0) AWC รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 1,404 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY แต่ลดลง 72% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะเพิ่มขึ้น YoY, QoQ เรายังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท


(0) CBG รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 2Q25 ที่ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% YoY และ 5% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะเพิ่มขึ้น YoY (จากรายได้) แต่ลดลง QoQ (ส่งออกและ GM ลดลง) เรายังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 70 บาท ทั้งนี้ ประเด็นกัมพูชา (15% ของรายได้) ยังเป็นความเสี่ยง แต่ปัจจุบันชดเชยด้วยส่วนแบ่งการตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้น


(0) TFG รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 2,552 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 2,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143% YoY และ 26% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลัก จะยังเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ (ตามฤดูกาล) ในเชิงกลยุทธ์มองเป็นจังหวะทยอยล็อคกำไร ออกมาบ้าง


(0) SPRC รายงานขาดทุนสุทธิ 2Q25 ที่ 812 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 294 ล้านบาท เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด พร้อมประกาศจ่ายปันผล 0.15 บาท คิดเป็น Div. yield 2.7% ขึ้น XD 21 ส.ค. แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ จากปริมาณและอัตรากำไร เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง 60% เป็น 726 ล้านบาท สะท้อนรายการพิเศษใน 2Q25 แต่ยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท มองธีมการเล่นหลักเรื่อง Global play ฟื้นตัว


(0) SAT รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 149 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY แต่ลดลง 19% QoQ ผลประกอบการเป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ ทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ ด้านสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง บริษัทน่าจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับ 10-11% ได้


(-) WHA รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 980 ล้านบาท หักรายการพิเศษกำไรหลักอยู่ที่ 1,083 ล้านบาท ลดลง 15% YoY และ 48% QoQ ต่ำกว่าที่เราคาด 20% (แต่เป็นไปตามตลาดคาด) จากราคาขายเฉลี่ยน้อยกว่าคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะ เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ เรายังแนะนำเลี่ยงลงทุน

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

GPSC
โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
เตรียมเริ่มธุรกิจ data center ในไทยและอินเดียกำลังผลิตไฟฟ้า Glow SPP (ถ่านหิน) ส่วนของ EGAT ที่หมดสัญญาจะถูกนำมาขายให้ IU แผนซื้อโรงไฟฟ้าจากกลุ่ม PTT ขนาด 300 - 350MW
View from fundamental: IU margin มีแนวโน้มดีขึ้น หลังสัดส่วนการผลิตจากถ่านหินเพิ่ม (ต้นทุนต่ำกว่าก๊าซ) น่าจะสร้าง positive sentiment ต่อ GPSC ในระยะสั้น

 


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ เยี่ยมชมกิจการ "SMO"

สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ เยี่ยมชมกิจการ "SMO"

บิ๊กแคป เขียว By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ชมบิ๊กแคป หลายตัว ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามแรงซื้อ ตามกระแสทุนนอกที่ยังคงไหล....

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้