สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(6 สิงหาคม 2568)------“ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนขยับขึ้นสู่เกณฑ์ ‘ทรงตัว’นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้าและเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ปัจจัยฉุดคือเศรษฐกิจในประเทศถดถอยและความขัดแย้งระหว่างประเทศ”
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกรกฎาคม 2568 (สำรวจระหว่างวันที่ 21-31 กรกฎาคม 2568) พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ที่ระดับ 81.06 นักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกรกฎาคม 2568 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 2568) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) ที่ระดับ 81.06
กลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” กลุ่มนักลงทุนบุคคล อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา”
หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดการแพทย์ (HELTH)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP)
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน
ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ
“ผลสำรวจ ณ เดือนกรกฎาคม รายกลุ่มนักลงทุนพบว่าความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับเพิ่ม 71.6% อยู่ที่ระดับ 87.01 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 172.2% อยู่ที่ระดับ 77.78 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 117.6% อยู่ที่ระดับ 138.46 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศทรงตัวอยู่ที่ระดับ 66.67
ในช่วงครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม 2568 ตลาดทุนไทยได้รับผลกระทบหลักจากความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เพื่อตรวจสอบกรณีคลิปเสียงหลุดกับฮุน เซนของกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา รวมถึงผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ รอบแรกเข้าสู่จุดตึงเครียดเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าไทยในอัตรา 36% ในขณะที่ประเทศคู่แข่งในอาเซียนหลายรายสามารถเจรจาลดภาษีได้สำเร็จแล้ว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปรับตัวดีขี้นในช่วงปลายเดือนจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา และการเจรจาอัตราภาษีนำเข้าจากไทยจบที่ 19% ระดับเดียวกับภูมิภาค โดย SET Index ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 ปิดที่ 1,242.35 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.02% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 41,971 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิรวม 62,569 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าในหลายประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งในตะวันออกกลาง และสถานการณ์กัมพูชา—ไทย ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ซึ่งจะมีผลต่อความไม่แน่นอนของรัฐบาลหรือการยุบสภา ท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต่อการคงหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วง Q3/2568 ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ปี 2568 และโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI และ FTSE ที่จะประกาศในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้าหุ้นไทย”