Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

95

 

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
ดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI ปรับตัวลง 2.5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉุดโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และจีน
ในฝั่งตลาดตราสารหนี้ ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 7–10 ปีเพิ่มขึ้น 1% ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI รีบาวด์ 3.3% ขณะที่ราคาทองคำขยับขึ้น 0.8% ในทิศทางเดียวกัน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 0.1% โดยกลุ่มที่โดดเด่น ได้แก่ ปิโตรเคมีที่พุ่งขึ้น 6.5% ตามด้วยสินค้าเกษตร 4.6% และรับเหมาก่อสร้าง 3.5%

ประเด็นในต่างประเทศที่น่าสนใจ


รายงานจาก Nikkei Asia ระบุว่าอุตสาหกรรมไอทีของญี่ปุ่นเผชิญการถดถอยของผลิตภาพแรงงานมากที่สุดในกลุ่ม G7 ระหว่างปี 2019–2023 โดยผลิตภาพที่วัดจากมูลค่าเพิ่มต่อพนักงานลดลง 13% ขณะที่สหรัฐฯ และอังกฤษเพิ่มขึ้น 27% และ 9% ตามลำดับ ทั้งนี้ แม้จำนวนแรงงานในภาคไอทีญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 20% แต่มูลค่าเพิ่มกลับเพิ่มขึ้นเพียง 5% เนื่องจากยังเปลี่ยนผ่านสู่บริการคลาวด์และระบบดิจิทัลขั้นสูงได้ช้า บริษัทญี่ปุ่นยังเน้นสร้างระบบเฉพาะลูกค้า (customized systems) ซึ่งใช้แรงงานสูง ต่างจากสหรัฐฯ ที่ใช้ระบบสำเร็จรูปผ่านคลาวด์ ทำให้ขยายธุรกิจได้รวดเร็วกว่า ความล่าช้าดังกล่าวส่งผลให้ญี่ปุ่นขาดดุลดิจิทัลสูงเป็นประวัติการณ์ และในระยะยาว เมื่อแรงงานเริ่มลดลง การพึ่งพา AI เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น


เราประเมินว่า การถดถอยของผลิตภาพแรงงานในภาคไอทีญี่ปุ่นไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของการปรับตัวล่าช้าต่อเทคโนโลยีใหม่เท่านั้น แต่สะท้อนถึงโครงสร้างทางธุรกิจที่ยังยึดติดกับการผลิตแบบเน้นแรงงาน มากกว่าความสามารถในการขยายตัว (scalability) ญี่ปุ่นยังคงผูกติดอยู่กับโมเดลระบบไอทีแบบดั้งเดิม ที่ต้องใช้วิศวกร onsite และตอบโจทย์เฉพาะราย แตกต่างจากสหรัฐฯ และยุโรปที่ขยับไปสู่โมเดล SaaS (Software-as-a-Service) ซึ่งช่วยให้บริษัทไอทีสามารถกระจายผลิตภัณฑ์ได้ในวงกว้างโดยใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า
ความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงส่งผลต่อผลิตภาพแรงงาน แต่ยังนำไปสู่ขาดดุลดิจิทัลเรื้อรัง ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของการพึ่งพาต่างประเทศทางเทคโนโลยี คล้ายกับกรณีขาดดุลพลังงานที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ความเสี่ยงระยะยาวคือ ญี่ปุ่นอาจกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าเทคโนโลยีสุทธิ (net technology importer) ซึ่งจำกัดอำนาจต่อรองในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
Implication สำหรับนักลงทุน:
หากไม่มีการเร่งปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจและระบบแรงงานในอุตสาหกรรมไอทีของญี่ปุ่น ภาคเทคโนโลยีจะไม่สามารถเป็น growth engine ได้ในระยะยาว แม้ญี่ปุ่นจะมีการลงทุนใน AI เพิ่มขึ้น แต่หากยังขาดการออกแบบระบบที่ scale ได้จริง การเพิ่มผลิตภาพจะยังถูกจำกัด นักลงทุนควรจับตาการเปลี่ยนผ่านของบริษัท ไอทีญี่ปุ่นจาก System Integrator สู่ Digital Platform Provider และประเมินว่าใครจะสามารถใช้ AI พลิกโฉมการดำเนินงานได้จริง มากกว่าการใช้เป็นเพียง buzzword


ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
สัปดาห์นี้มีรายงานเศรษฐกิจที่น่าจับตามองหลายรายการ เริ่มต้นในวันจันทร์ สหรัฐฯ เตรียมเปิดเผยยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) ประจำเดือนมิถุนายน ซึ่งตลาดคาดว่าจะหดตัว 5.2% MoM
วันอังคารถือเป็นไฮไลต์ของสัปดาห์ โดยมีรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจทั้งจากจีนและสหรัฐฯ เริ่มจากช่วงเช้า จีนจะประกาศตัวเลข Caixin Services PMI เดือนกรกฎาคม ซึ่งตลาดคาดว่าจะขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ระดับ 50.2 ขณะที่ช่วงค่ำ สหรัฐฯ จะเปิดเผย ISM Services PMI ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 51.5 สะท้อนการขยายตัวอย่างจำกัดของภาคบริการ
ปิดท้ายในวันเสาร์ จีนจะรายงานตัวเลข CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งตลาดคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยที่ -0.1% MoM สะท้อนแรงกดดันด้านภาวะเงินฝืด


แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณที่เราได้ชี้ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลของความ ผันผวน โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวหลุดแนวรับบริเวณ 6,280 จุด ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ย EMA 21 วัน ขณะที่ Momentum Tracker ลดลงอีก 2 จุด สะท้อนแรงหนุนเชิงโมเมนตัมที่เริ่มแผ่วลงจากจุดสูงสุดในรอบก่อนหน้า
ในเชิงมูลค่า ดัชนีกำลังเผชิญกับแรงกดดันในช่วงที่ Forward PE ปี 2025 อยู่ในโซนตึงตัว ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากตัวเลขเศรษฐกิจ โดยเฉพาะดัชนีชี้นำอย่าง PMI มีโอกาสออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งอาจกระตุ้นแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายน ซึ่งมักเป็นฤดูที่ความผันผวนในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ภายใต้บริบทนี้ เราแนะนำให้นักลงทุน รอจังหวะการปรับฐานที่มากกว่านี้ ก่อนทยอยสะสมหุ้นคุณภาพในจังหวะที่เหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่ม Teflon Tech—หุ้นเทคโนโลยีที่ทนทานต่อแรงกระแทกของเศรษฐกิจ—ซึ่งมีความยืดหยุ่นและมีโอกาสฟื้นตัวเด่นในไตรมาส 4


ในฝั่งตลาดตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (yield) ปรับตัวลดลงหลุดกรอบ 4.3–4.4% ซึ่งเป็นกรอบการเคลื่อนไหว sideway ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยแรงหนุนหลักมาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาด โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่สะท้อนภาวะตลาดแรงงานที่ชะลอตัว
แนวโน้มในระยะสั้นอาจเห็นแรงซื้อไหลเข้าต่อ หากตัวเลขเศรษฐกิจชุดถัดไป โดยเฉพาะ ดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และอาจเปิดช่องให้ตลาดเริ่มกลับมาพิจารณาแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ เฟดอีกครั้งในช่วงปลายปี


ราคาทองคำปรับตัวหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 3,320 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นฐานล่างของกรอบ Ascending Triangle ส่งผลให้เทรดเดอร์จำนวนมากต้องเร่งลดสถานะการลงทุน ทำให้ปริมาณสถานะซื้อสุทธิ (Net Long Position) ปรับลดลงจาก 170,868 สัญญา เหลือ 142,846 สัญญา อย่างไรก็ตาม การหลุดแนวรับครั้งนี้กลับเป็นเพียงสัญญาณขายหลอก (false sell signal) เมื่อราคาทองคำดีดตัวกลับเข้าสู่กรอบ Ascending Triangle ได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ ทิศทางราคาทองคำยังคงประเมินได้ยาก เนื่องจากอาจเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะสั้น อย่างไร ก็ดี ในมุมมองระยะกลาง เรายังคงน้ำหนักเชิงบวกต่อทองคำ โดยมองว่ายังเป็นสินทรัพย์ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกยังเปราะบาง ซึ่งอาจผลักดันให้ธนาคารกลางในหลายประเทศยังคงเดินหน้าสะสมทองคำต่อไป


ราคาน้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จากแรงหนุนของกระแสข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเตรียมเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมกับประเทศที่ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย อย่างไรก็ดี แรงซื้อดังกล่าวเริ่มแผ่วลงในช่วงปลายสัปดาห์ เมื่อรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยตัวเลขเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง และตัวเลขเดือนมิถุนายนถูกปรับลดลงแรงจาก 147,000 เหลือเพียง 14,000 ตำแหน่ง สะท้อนภาวะชะลอตัวของตลาดแรงงาน ซึ่งอาจกดดันความต้องการใช้น้ำมันในระยะสั้น
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากตลาดฟิวเจอร์ยังชี้ว่าอัตราส่วน Long-to-Short ของนักลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 2.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ราว 5.5 เท่า อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ยังเปราะบางและภาวะการเก็งกำไร ที่จำกัด
ภายใต้บริบทนี้ เราประเมินว่าราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบต่อไปในระยะสั้น จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ที่กระทบด้านอุปทานเข้ามาเปลี่ยนสมการของตลาด


ตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่หก แต่แรงซื้อเริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยดัชนี SET ปิดบวกเพียงเล็กน้อยที่ 0.1% ขณะเดียวกัน ตลาดเริ่มเผชิญแรงขายทำกำไรเมื่อเข้าสู่แนวต้านบริเวณ 1,250–1,280 จุด ซึ่งเป็นโซนสำคัญที่นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น
ภายใต้ภาวะที่ดัชนี Bull-to-Bear ยังคงอยู่ในระดับตึงตัว การเคลื่อนไหวของตลาดจึงมีแนวโน้มผันผวนในสัปดาห์นี้
Quant Focus List สัปดาห์นี้: Bank: KTB, TTB, Food: AAI, ITC, Healthcare: BCH, BDMS, ICT: SYNEX

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ทิ้งดิ่งช่วงบ่ายวันศุกร์ จากแรงขายทำกำไรหุ้นใหญ่ ผสมโรงกับการเลี่ยงประเด็นลบใหม่ จากการเมืองในประเทศที่ดูสัญญาณร้อนขึ้น โดย DELTA GULF PTT CPALL AOT PTTEP BDMS นำลง ส่วนด้านบวก กลุ่มการบิน AAV BA (เก็งกำไรก่อน THAI เข้าวันนี้) CPF TFG BTG TU (ประเด็นการค้าคลี่คลาย)

แนวโน้มตลาดวันนี้ Dividend, higher stocks price.
หุ้นไทยสัปดาห์ที่แล้วขึ้นชนแนวต้าน 1,250 จุด และเผชิญแรงขายทำกำไรกลับลงมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง จากแรงขาย Sell on fact หุ้นที่ขานรับอัตราภาษีตอบโต้ฯ ซึ่งไทยได้ดีลสหรัฐฯกลับมาที่ 19% จากเพดานเดิม 36% ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยภูมิภาค แต่ด้านที่ดีคือ เรามีแนวโน้มดึงเงินลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ จากการยกเว้นภาษีให้ เช่น การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ AI และไม่ได้เปิดให้มีการนำเข้าสินค้าแบบ 100%

แนวโน้มสัปดาห์นี้คาดตลาดหุ้นไทยพักฐานในกรอบ 1,215-1,230 จุด โดยเป็นการพักฐานปกติ ยังไม่ถึงขึ้นทิ้งดิ่งลงและจบรอบหลุด 1,200 จุด การพักฐานครั้งนี้คาดเกิดจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นหลังตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นมาถึงแนวต้านตามที่เราประเมิน พร้อมกับประเด็นถัดไปที่ตลาดจับตามอง คือเรื่องคดีการเมืองในประเทศ

ตามไทม์ไลน์การเมืองในประเทศที่เราเกริ่นไว้ คาดจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อบรรยากาศลงทุน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ขยายเวลา(เป็นครั้งสุดท้าย) ให้นายกแพรทองธาร ชี้แจงปมคลิปเสียง วันจันทร์ที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งต้องติดตามคำสั่งวันวินิจฉัยคดี หลังจาก วันที่ 4 ส.ค. อีกครั้ง รวมถึง วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี”ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” ซึ่งทั้ง 2 คดีที่รอคำตัดสิน คาดไม่ส่งผลบวกในระยะสั้นต่อ บรรยากาศลงทุนหุ้นไทย แต่ในระยะกลางถึงยาวคาดส่งผลดี เมื่อทุกอย่างชัดเจน

แต่เราคาดว่า ฤดูกาลประกาศงบการเงิน แถมประกาศจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทย และจะช่วยดันราคาหุ้นรายตัวในรอบถัดไป

ด้วยเราพบว่าการประกาศจ่ายเงินปันผล บจ.รอบนี้ มีแนวโน้มที่จ่ายเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เราและตลาดคาด ยกตัวอย่าง PTTEP จ่าย 4.10 บ. จากที่คาด 3.25 บ. SCC จ่าย 2.5 บ. Vs. คาด 0.98 บ. ซึ่งการทยอยประกาศงบตลอดทั้งสัปดาห์นี้ และ เดือน ส.ค. คาดว่าจะเห็นการประกาศจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น...
กลยุทธ์แนะนำถือหุ้นตามพอร์ตที่เราแนะนำไว้ก่อน โดยเฉพาะหุ้นปันผล และหาจังหวะเพิ่มการซื้อเก็งกำไร หุ้นที่เห็นแนวโน้มของการปรับประมาณการณ์กำไร และ การปรับเพิ่มคำแนะนำ หุ้นรายตัวจากนี้ไป

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล เริ่มสะสมหุ้นต้นรอบ ดักงบการเงินไตรมาส 2 และปันผลระหว่างกาล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
เริ่มต้นเดือนส.ค. SET ย่อ! กราฟรายสัปดาห์ทะลุทำ high ที่ 1,255 จุด แต่ยืนไม่ได้ ร่วงลงมาปิดต่ำ “Shooting star” ท้าทาย previous high & EMA 50 week ที่ 1,231 อีกครั้ง! แนวโน้ม SET ถึงรอบการปรับฐาน จุดเช็คบิลแรก 1,200-1,215 (EMA 10 วัน) หากหลุด แนวรับถัดไป 1,180 ถือว่าสำคัญมากๆเนื่องจากเป็นจุดที่เส้นค่าเฉลี่ยกองมัดกันรวมตัวอยู่หลายเส้น คาดว่าเหนียว ไม่หลุดง่ายๆ ในแง่มุมมองระยะกลางรายเดือน ยังมองภาพปรับฐานย่อยอยู่ในโครงสร้างขาขึ้น ข้อดีลดดีกรีความร้อนแรงภาวะ overbought ลงมาสู่ระดับปรกติ…..กลยุทธ์ทางเทคนิค หุ้นที่เคยแนะนำไว้ มีบางตัวกำไรเยอะ น้อยหรือติดลบไม่มาก วางแผนรับมือในหน้าถัดไป….
Note: ส่วนหุ้นประจำเดือนส.ค. ได้แก่ PTT, IVL, BANPU ก็มีแผนรับมือเช่นกันครับ

 

 

 

What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญ ขยายเวลา(เป็นครั้งสุดท้าย) ให้นายกแพรทองธาร ชี้แจงปมคลิปเสียง วันจันทร์ที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งต้องติดตามคำสั่งวันวินิจฉัยคดี หลังจาก วันที่ 4 ส.ค. อีกครั้ง รวมถึง วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี”ทักษิณรักษาตัวชั้น 14”
MSCI review คาดประกาศรายชื่อหุ้นเข้าออก ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือน ส.ค.

หุ้นแนะนำวันนี้
BH BLS Research ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ แนวรับ 160 ต้าน 172 Stop loss 155

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Wealth Insight
Beyond Trump Tariffs | ภาษีทรัมป์ x หุ้นไทย … กลุ่มไหนลงทุนได้? กลุ่มไหนยังต้องระวัง?
ตลาดจะเข้าสู่โหมด wait and see เต็มตัว shift focus ไปที่ผลกระทบจริงของมาตรการภาษี (รวมถึงการเมืองในประเทศ) การเร่งซื้อสินค้าล่วงหน้าหายไป กระทบส่งออกไทย ซ้ำเติมเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอ จำกัด upside ของตลาดหุ้นในระยะสั้น

ประเมิน GDP ไทยปี 2025 คาดโต 1.4%, คาดกำไร SET เติบโตราว 6.6% (SET EPS อยู่ที่ 82 บาท) มองกรอบบนอยู่ที่ SET target ปี 2025 ของเราที่ 1280 (PER 15.7x, -0.5SD) หากตลาดปรับฐานประเมินกรอบล่างอยู่บริเวณ 1160 (อิง PER 14.2x, -1.0SD) คาดจะเคลื่อนไหวในกรอบมากขึ้น
มองการปรับฐานจะเป็นจังหวะ “เลือก” สะสม

1) กลุ่มที่มีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯสูง/มีความสามารถในการแข่งขันที่ดี หลังอัตราภาษีไทยใกล้อาเซียน แต่ราคาโดนกดดันหนักก่อนหน้านี้เช่นกลุ่มส่งออกทูน่ากระป๋อง TU (40% ของรายได้ไปสหรัฐฯ)/ อาหารสัตว์เลี้ยง ITC (50%) และ

2) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้า ได้แก่ กลุ่มเนื้อสัตว์ การนำเข้าข้าวโพด/ถั่วเหลือง จากสหรัฐฯ เพิ่ม (และจำกัดการนำเข้าเนื้อหมูเข้ามาเพียงเล็กน้อย) จะหนุน upside กำไรปีหน้าราว 14% ประเมินราคาข้าวโพดนำเข้าราคาต่ำกว่าเดิมราว 20%, ถั่วเหลืองต่ำกว่าราว 10%

กลุ่มนิคมฯ vs FDI มองยังไง?: มองเก็งกำไร “อย่างระมัดระวัง”สำหรับกลุ่มนิคมฯ แม้ระดับภาษีล่าสุดจะหนุน sentiment เชิงบวกระยะสั้น หลังภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ล่าสุดบนสินค้าจีนยังสูงกว่าไทยราว 32% [จีน 55% vs ไทย 23% (MFN rate 4% + Reciprocal 19%)] เทียบช่วง trade war 1.0 ปี 2018 ที่ 17% อาจยังหนุนความน่าสนใจของไทยในฐานะฐานการผลิตทางเลือก

แต่คาดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (FDI) อาจชะลอตัวในระยะสั้น อยู่ในโหมด wait and see ในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้าจาก 1) ภาษีจีนยังไม่ชัดเจนและคาดมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้อีก โดยภาษีที่เรียกเก็บจริงล่าสุดส่วนใหญ่ “ลดลง”ราวครึ่งนึงจากที่เคยประกาศวันที่ 2 เม.ย. ในขณะที่จีนอยู่ที่ 55% (จาก 34%) และ 2) ภาษีผ่านทาง (transshipment) 40% อาจทำให้ภาคธุรกิจต้องทบทวนแผนลงทุนใหม่

นำเข้าพลังงานสหรัฐฯ ช่วยแค่ไหน?: ประเมินผลประโยชน์เล็กน้อยสำหรับกลุ่มพลังงานที่ต้นทุนเป็นน้ำมันดิบ/LNG (โรงกลั่น/ปิโตรฯ/โรงไฟฟ้า) แม้ราคาพลังงานที่สหรัฐฯอาจถูกกว่าแต่หากรวมต้นทุนค่าขนส่ง ทำให้ต้นทุนรวมไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก

 

 

 

 

Agri & Food Sector
ประเมิน Upside กลุ่มเกษตร-ปศุสัตว์ หลังจบดีลภาษีสหรัฐฯ
แนวโน้มต้นทุนอาหารสัตว์ปี 2026 อาจลดลงจากการนำเข้าข้าวโพดและถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ซึ่งมีราคาถูกกว่าภูมิภาค 20–30% โดยข้าวโพดคิดเป็น 45% ของต้นทุนอาหารสัตว์ทั้งหมด และมีโอกาสนำเข้าทดแทนแหล่งในประเทศและเพื่อนบ้านที่มีปัญหา PM2.5 โดยต้นทุนนำเข้าจากสหรัฐฯ ต่ำกว่าราคาในประเทศ ~30% ขณะที่ถั่วเหลืองจากบราซิลยังครองตลาดแต่ราคาสหรัฐฯ เริ่มแข่งขันได้มากขึ้น เราประเมินต้นทุนข้าวโพดลดลง 20% และถั่วเหลือง 10% จะช่วยเพิ่มกำไรกลุ่มปศุสัตว์เฉลี่ย +13.7% ในปี 2026 โดย BTG ได้อานิสงส์มากสุด +16.9%, CPF +11.3% ส่วนความเสี่ยงจากการนำเข้าหมูสหรัฐฯ มีจำกัด (คิดเป็นเพียง ~1% ของ supply ในประเทศ)
อย่างไรก็ตาม แม้กำไร 2Q25 ยังสูงจากราคาขายที่ดี แต่การเพิ่มขึ้นของ supply หมูอาจกดดัน margin ใน 2H25 เราแนะนำ “ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนเมื่อมีแรงซื้อรีบาวด์ช่วงงบฯ”


ฝั่งผู้ส่งออกอาหาร เช่น ITC TU ยังได้เปรียบจากโครงสร้างต้นทุน โดยเฉพาะ ITC ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษี 19% จำกัด (ฝั่งรายได้) และสามารถส่งผ่าน (pass-through) ต้นทุนไปยังผู้บริโภค (ราคาขายปลีกในสหรัฐฯ อาจเพิ่ม ~3–5%) พร้อมให้ rebate ลูกค้าบางรายไม่เกิน 10% ของยอดขาย หนุนให้ยอดขาย 3Q25 โตทั้ง YoY และ QoQ ได้แรงหนุนจากสินค้าใหม่และลูกค้าใหม่ ซึ่งคิดเป็น ~20% ของรายได้ 1H25 และมี margin สูงกว่าค่าเฉลี่ย

Fundamental view: เรายังชอบ ITC ที่สุดในกลุ่ม จาก demand ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการรับมือกับภาษี และโอกาสเติบโตต่อเนื่องใน 2H25–2026

 

 


Healthcare Sector
ถึงเวลากลับมาสะสม
เราคาดกำไรหลักของกลุ่มรพ. (BDMS BH BCH PR9) รวมอยู่ที่ 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY จะลดลง 6% QoQ ตามฤดูกาล โดยปกติแล้ว ช่วงไตรมาส 2 โดยปกติถือเป็นช่วง Low Season ของกลุ่มโรงพยาบาล แต่ BH กลับรายงานกำไรสวนทาง ด้วยการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง

หลังจาก BH รายงานฯ ต่อไป คาด PR9 น่าจะมีกำไรเติบโตสูงสุด +39% YoY เป็น 194 ล้านบาท แม้ลดลง 3% QoQ, BDMS คาดมีกำไร 3.8 พันล้านบาท โต 15% YoY แต่ลดลง 12% QoQ จากฐานสูงใน 1Q25 ส่วน BCH คาดกำไร 344 ล้านบาท โต 2% YoY และ +5% QoQ

สำหรับต่อจากนี้ Middle East จะกลับมาเป็นผู้เล่นตัวสำคัญ โดยหากดู จำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศไทยใน 2Q25 จากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง มีถึง 182,000 คน ทรงตัว YoY เพิ่มขึ้น 79% QoQ โดยเฉพาะจากซาอุฯ ที่โตถึง 87% YoY เป็น 58,000 คน

Fundamental view: เรายังคงชอบกลุ่ม Healthcare โดยเรามองว่า valuation ตอนนี้ของกลุ่มเทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง -1SD โดยเรามองว่า 3Q25 จะเข้าสู่ high season และข่าวร้ายของกลุ่มนี้ได้รับรู้ไปในราคาหุ้นมากแล้ว

ดังนั้นเราจึงชอบคนที่มีสัสดส่วนของรายได้จากชาวต่างชาติสูงเช่น BH และ PR9 เป็น top pick ตอนนี้ นอกจากนี้ เรายังได้ออกรายงาน Upgrade คำแนะนำ BH ขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 195 บาท

 

 


Utilities Sector
ค่าไฟลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว?
การปรับลดค่าไฟรอบ ก.ย.–ธ.ค. 2025 เหลือ 3.94 บาท/หน่วย ต่ำกว่ารอบก่อนหน้า (4.15 ใน ก.ย.–ธ.ค. 2024 และ 3.98 ใน พ.ค.–ส.ค. 2025) สะท้อนการปรับสมมติฐานราคาก๊าซรวมลงเหลือ 295–304 บาท/MMBTU (-5–6%) โดยเป็นผลจากการใช้ก๊าซในประเทศสัดส่วนมากขึ้น และนำเข้า LNG น้อยลงจากดีมานด์ไฟฟ้าที่ลดลง อย่างไรก็ตาม สมมติฐานนี้ถือเป็นจุดสำคัญของการคงค่าไฟ ที่ระดับต่ำ และหากราคาก๊าซรวมสูงกว่าคาด อาจกดดันต้นทุนของทั้ง EGAT และ SPPs ซ้ำรอย ต้นปี 2025 ที่ EGAT ไม่สามารถชดเชยต้นทุนเชื้อเพลิงได้ทัน ขณะที่กระแสกดดันให้ลดลงถึงระดับ 2.50–3.70 บาท/หน่วยเริ่มเงียบลง สะท้อนว่าสัญญาณจากภาครัฐก็รับรู้ถึงข้อจำกัดดังกล่าว

แต่กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP (BGRIM GPSC เป็นหลัก) จะเผชิญภาวะลำบาก หากราคาก๊าซลด ค่าไฟอาจถูกปรับลดเพิ่ม แต่หากราคาก๊าซขึ้น กำไรจะถูกบีบ ส่งผลให้กลุ่ม SPP ถูกจำกัด upside จากทั้งสองด้าน

แนวโน้มกำไร 2Q25 และ 3Q25: GULF เด่นสุด โดยคาดกำไรหลัก 2Q25 ที่ 6.64 พันล้านบาท (+2% QoQ) จากกำลังผลิตใหม่และส่วนแบ่งกำไร ADVANC ขณะที่ กำรสุทธิจะพุ่งแตะ 6.34 หมื่นล้านบาท จากกำไรพิเศษการรวม INTUCH ส่วน 3Q25 คาดกำไรหลัก 7.03 พันล้านบาท (+6% QoQ) จากโรงไฟฟ้าใหม่ทยอยเดินเครื่องต่อเนื่อง

รองลงมา GPSC คาดกำไรหลัก 2Q25 ที่ 1.34 พันล้านบาท (-6% YoY, +12% QoQ) ที่เหลือ BGRIM GUNKUL WHAUP คาดกำไรลดลง YoY, QoQ
Fundamental view: เราแนะนำ GULF เป็นตัวเลือกเด่นในกลุ่ม จากแนวโน้มกำไร 2Q25 ที่เติบโตดี YoY และมีกำไรพิเศษจากดีล INTUCH รวมถึงพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายและแผนขยายตัวระยะยาวทั้งในธุรกิจพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

ส่วน GUNKUL เหมาะสำหรับนักลงทุนสาย value จากกำไรหลักที่มีโอกาสเติบโตเท่าตัวภายในปี 2030 และ valuation ที่ถูกเพียง 9x PER ปี 2026 พร้อมเงินปันผล 5-6% ทำให้มีความน่าสนใจ ในมุมมองระยะยาว

 


ITC
ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น
แนวโน้มยังไปต่อ แม้มีภาษีสหรัฐฯ
เรายังคงมุมมองเชิงบวกหลังจากปรับคำแนะนำขึ้นเมื่อ 30 มิ.ย. โดยคาดการณ์กำไรปี 2026 เติบโตจากปริมาณขายที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยปริมาณขาย 1H25 โต 11% YoY หนุนโดยสินค้าใหม่ (20% ของรายได้) และฐานลูกค้าแบรนด์ใหญ่ แม้สัดส่วนสินค้าพรีเมียมลดลงเหลือ 47.5% แต่คาดฟื้นสู่ 50% ในปี 2026 หนุนราคาขาย (ASP) และ GM เพิ่มขึ้น ขณะที่แรงกดดันจากเงินบาทแข็งใน 1H25 น่าจะคลี่คลายในปีหน้าด้วย
ส่วนประเด็นถูกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% แต่คาดผลต่อราคาขายปลีกจริงอยู่ที่เพียง ~6% โดย ITC จะให้ rebate เฉพาะลูกค้าบางราย (ไม่เกิน 10% ของยอดขาย) เพื่อรักษาปริมาณขาย และเมื่อเทียบกับจีน อินเดีย เวียดนาม ที่เป็นคู่แข่ง ไทยยังได้เปรียบด้านภาษี
นอกจากนี้ สินค้าใหม่ GM สูง คำสั่งซื้อแน่น หนุน Utilization สูง ช่วยสร้าง Economy-of-scales นอกจากนี้ยังมีเงินสดสุทธิจากหนี้ 1.13 หมื่นล้าน และจ่ายปันผล 87% ของกำไร และคาดการณ์กำไร 2026 ยังมีอัพไซด์ต่อจากการบริหารภาษีและการเติบโตของสินค้าพรีเมียม
Fundamental view: คงคำแนะนำ “ซื้อ” (ราคาเป้าหมาย 15.40 บาท) มองแนวโน้มกำไรฟื้นตัวแรงในปีหน้าและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง

 



รายงานผลประกอบการวันนี้

MINT
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
(0) MINT รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 3.1 พันล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 3.41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% YoY และ 6-เท่า QoQ (จากฐานต่ำ) เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะเติบโต YoY, QoQ จากธุรกิจโรงแรม และดอกเบี้ยที่ลดลง เรายังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 35 บาท

 

สรุปประเด็นจาก Quick take

Energy
กลุ่ม OPEC+ มีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 547,000 บาร์เรล/วันในเดือน ก.ย.
จากการประชุมกลุ่ม OPEC+ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา กลุ่ม OPEC+ มีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ547,000 บาร์เรล/วันในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งและสต๊อกน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำ
View from fundamental: การปรับเพิ่มการผลิตดังกล่าวรวมทั้งความเสี่ยงที่อุปสงค์อาจชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าน่าจะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง และน่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้น upstream O&G (PTTEP) แต่น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่ม โรงกลั่น (ต้นทุนน้ำมันดิบถูกลง) โดยมี TOP เป็น preferred pick

 


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้