วันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้น โดยมีแรงหนุนจากความคาดหวังการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและไทยและ Fund Flow นักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามา มีแรงซื้อนำโดยหุ้น DELTA ซึ่งหนุนดัชนีราว +5 จุดตามด้วยแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก และไอซีที ขณะที่มีแรงขายน าโดยหุ้นกลุ่มขนส่ง เป็นปัจจัยกดดันดัชนีปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,206.58 จุด +8.47 จุด +0.71%มูลค่าการซื้อขาย 53,775.57 ลบ. (สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี +85.45 จุด +7.62%) Program Trading+1,269.35 ลบ. ต่างชาติ +842.70 ลบ. TFEX -3,968 สัญญา ตราสารหนี้-454.76 ลบ.

ปัจจัยบวก
+ ทีมนักธรณีวิทยาของจีนค้นพบแหล่งแร่หายากขนาดใหญ่ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อนในเขตปกครองตนเองมองโกเลียทางตอนเหนือของจีน
+ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในกฎหมาย Guiding andEstablishing National Innovation for U.S. Stablecoins Act (GENIUS Act)กฎหมายฉบับแรกของสหรัฐฯ ที่กำกับดูแลสเตเบิลคอยน์
+ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงการเจรจากับสหรัฐฯ ว่า ประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความส าคัญมากและเรียกร้องจากไทยคือขอให้ไทยลดมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี (NTB) ให้มากขึ้น แต่ไทยได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมที่จะลดมาตรการกีดกันให้สหรัฐฯ ไปแล้ว
+ กกพ. เปิดเผยว่าเดือน ก.ค.นี้จะได้ความชัดเจนมากขึ้นกรณีกกพ.ประกาศเลื่อนลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FITปี 2565-2573 กลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงรอบสองที่ได้ประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ขายไฟฟ้ากลุ่ม 2,180 เมกะวัตต์
+ รมช.คลัง เปิดเผยว่า วันที่ 23 ก.ค.68 นี้ ร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ พ.ร.บ.กอช.จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในวาระ 2 และ 3เพื่อให้ กอช. สามารถออกและจำหน่าย "สลาก กอช." หรือ "หวยเกษียณ" เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน

ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 142.30 จุด หรือ -0.32% ขณะที่ดัชนี S&P500และ Nasdaq ปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง หลังตลาดฟื้นตัวจากแรงกดดันระยะสั้นที่เกิดจาก ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลักดันให้มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป (EU) ในอัตราสูง
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดล ง 20 เซนต์ ห รือ -0.3% ปิดที่67.34 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางปัจจัยข่าวเศรษฐกิจและประเด็นภาษีของสหรัฐฯที่ผสมผสานกัน รวมถึงความกังวลด้านอุปทานน้ำมัน หลังสหภาพยุโรป (EU)ประกาศมาตรการคว่ าบาตรรัสเซียเพิ่มเติมจากกรณีสงครามในยูเครน
- สหรัฐฯ ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping Tariff)ในอัตราเบื้องต้น 93.5% ต่อสินค้าแกรไฟต์เกรดแอโนด (Anode-gradeGraphite) ที่นำเข้าจากประเทศจีน โดยสินค้าดังกล่าวเป็นส่วนประกอบส าคัญส าหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ขายในสหรัฐฯ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม
- รัฐมนตรีคลังจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจเกิดใหม่ 20 ชาติ (G20)แถลงว่าเศรษฐกิจโลกก าลังเผชิญกับ "ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นและความท้าทายที่ซับซ้อน" ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯที่ยังไม่คลี่คลาย
-ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท1 ปีที่ระดับ 3.0% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีที่ระดับ 3.5% เพื่อรับมือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ซบเซาและเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกตู้เย็นของประเทศไทยไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาจะได้รับผลกระทบ อาจจะมีแนวโน้มหดตัว 3.3% หากไทยโดนสหรัฐอเมริกาประกาศเก็บภาษีในอัตรา 36% ตั้งแต่ 1 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป

แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาส Sideway หลังจากปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยนักลงทุนยังติดตามการผลการเจรจามาตรการภาษีระหว่างสหรัฐ-ไทยอย่างใกล้ชิด ประกอบกับติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมามองกรอบดัชนีที่ 1,200-1,210 จุด

กลยุทธ์การลงทุน
• เที่ยวไทยคนละครึ่ง : AWC MINT ERW CENTEL SHR
• หุ้น Defensive : ADVANC PR9 TISCO BGRIM
• หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ก.ล.ต.เตรียมเปิด Sandbox ให้ชาวต่างชาตินำคริปโตแลกเงินบาทน ามาใช้จ่ายธนาคาร KBANK SCB BAY โรงแรม MINT CENTEL ERW AWC สายการบิน AAV BA บันเทิง MAJOR ค้าปลีก CPALL CPAXT หุ้นคริปโต JTS BTC XPG ZIGA