Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.พาย : Pi Daily

94


Pi Daily ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาด้วยความคาดหวังเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐฯ แต่พื้นฐานยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะไม่ว่าจะเชิงเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน การปรับขึ้นนักลงทุนไม่ควรประมาท ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อคืนดีกว่าตลาดประเมินไว้

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 229 จุด (+0.5%) ขณะที่ Nasdaq , S&P500 ปิดทำ New High ได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1% หลังมีรายงานว่าบ่อน้ำมันของอิรักถูกโจมตี เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯประกาศยอดค้าปลีกประจำเดือน มิ.ย. พบว่าขยายตัว 0.6%MoM ดีกว่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 0.1%MoM ขยายตัวเด่นในสินค้าจำพวกยานยนต์และส่วนประกอบ (+1.2%MoM) เสื้อผ้าและเครื่องประดับ (+0.9%MoM) ขณะที่สินค้าอื่นๆ ก็ขยายตัวได้เช่นกัน สะท้อนถึงอุปสงค์ของสหรัฐฯ ยังไปได้ดี ทำให้พบเห็นว่าค่าเงิน Dollar Index เริ่มขยับขึ้น แต่อย่างไรก็ตามให้ระมัดระวังความกังวลด้านดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจร้อนแรงจนเกินไปอาจทำให้ FED ตัดสินใจไม่ลดดอกเบี้ย ข้อมูลจาก CME FED Watch ล่าสุดให้ที่ทั้งปี 25 FED จะลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ส่วนปัจจัยในประเทศนักลงทุนยังคงติดตามการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งวานนี้ Bloomberg ได้สัมภาษณ์หนึ่งในคณะเจรจากับสหรัฐฯ (ทีม Thailand) ได้ข้อมูลดังนี้ โดยไทยจะยื่นข้อเสนอสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯกว่า 90% ให้ภาษีเป็น 0% จากเดิมทีที่วางแผนไว้เพียง 60% ของสินค้าทั้งหมด พร้อมกับมีแผนจะลดขาดดุลการค้าที่ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯลงให้ได้ 70% ภายในสามปีและนำไปสู่ดุลการค้าที่จะสมดุลมากขึ้น หนึ่งในทีมเจรจาเชื่อว่าข้อเสนอที่จะมอบให้กับสหรัฐฯ นั้นของไทยมีศักยภาพมากกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้วยังมีข้อเสนอเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯจำพวกแก๊สธรรมชาติ เครื่องบิน BOEING สินค้าเกษตรต่างๆ (ข้าวโพด ถั่วเหลือง ) ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยต้นทุนผู้ประกอบการในไทยจากการที่ต้นทุนสหรัฐฯ ค่อนข้างต่ำ พร้อมเชื่อว่าจะสามารถเจรจาเสร็จทันก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. โดยคาดหวังอัตราภาษีในระดับ 18 – 20% ทั้งนี้หากสามารถลดภาษีจาก 36% มาอยู่ในกรอบ 18-20% ก็จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยถือว่าใกล้เคียงกับภูมิภาค แต่หากลดลงได้ในระดับ 15% ลงไปจะทำให้ศักยภาพของไทยถือว่าแข็งแกร่ง และตลาดหุ้นก็น่าจะตอบรับเชิงบวก ซึ่งวานนี้เชื่อว่า SET INDEX ที่ปรับขึ้นมา 3.5% และนับจากจุดต่ำสุดแล้วราว 12% ส่วนหนึ่งก็คือการความหวังเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยข้างต้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เพิ่ม Upside ตลาดหุ้นไทยเป็นเพียงตัวจำกัด Downside Risk เชิงเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนมากกว่า ในเชิงปัจจัยพื้นฐานของไทยยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังมีความน่ากังวลเพราะการเติบโตจะลดลงหากเทียบครึ่งปีแรก ผสานกับการท่องเที่ยวที่ยังคงลดลงและยังไม่เห็นการฟื้นตัว ในเชิง Valuation จากการที่ SET ปรับขึ้นมาทำให้ Forward PE ขึ้นมาที่ 13.2x หากเทียบกับอดีตก็อาจไม่แพงเพราะเคยไปซื้อขายในช่วง 15-16x แต่การเติบโตของไทยจากนี้อาจไม่เหมือนในอดีต โดยที่ Hang Seng , Kospi ซื้อขายในช่วง PE เพียง 11x การปรับขึ้นจากนี้จึงควรระมัดระวังมากกว่าจะไล่ราคา วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1185 – 1210 เชิงกลยุทธ์การลงทุนควรเริ่มมองฝั่งทยอยทำกำไรมากกว่าจะเพิ่มความกล้าลงทุนด้วย Valuation เริ่มแพงผสานกับปัจจัยพื้นฐานยังไม่เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นแต่อย่างไรก็ตามหากรับความเสี่ยงได้ อาจ Trading ในหุ้นกลุ่มค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC SAWAD)

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท)
Valuation ที่น่าสนใจ ปัจจุบันซื้อขายที่ราว 14xPE'25E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต พร้อมด้วยผลตอบแทนเงินปันผลคาดหวังระดับ 3% โดยเราคาดรายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 6.7 พันล้านบาท (+8%YoY, -11%QoQ) หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 20 bps YoY แม้คาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 จะชะลอตัวเล็กน้อย YoY ที่ 0.5% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 10 bps YoY เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2H25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายสินค้า Ready-to-eat และ Ready-to-drinks และ Synergy benefits ของ CPAXT แม้ว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง

KTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท)
ราคาหุ้นปรับลดลง 47% YTD สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การขยายสินเชื่อต่ำกว่าเป้าหมาย และปัจจัยเสี่ยงเฉพาะตัวด้านสภาพคล่องของนักลงทุนบางกลุ่ม ขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลาย และราคาหุ้นมีความผันผวนลดลง แม้เราคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรได้เพียง 2-3% ในปี 2025-26 และ ROE มีแนวโน้มที่ลดลง เรามีมุมมองการลงทุนที่ดีขึ้นจาก (1) Valuation น่าสนใจมากขึ้น ซื้อขายที่ PBV'25E ที่ 1.55x และ PE'25E ที่ 9 เท่า บนคาดการณ์ ROE ที่ 18.1% ในปี 2025 (2) คาดผลตอบแทนเงินปันผลราว 5% ในปี 2025 และ (3) ความสามารถการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดี และมี Coverage ratio สูงกว่า 370%

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หุ้น ดักข่าวล่วงหน้า By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็น ดัชนีตลาดหุ้นไทย เดินหน้าบวกต่อเนื่อง ดันดัชนีฯเช้าวันนี้ ยืนเหนือ 1,200 จุด ได้แล้ว ....

มัลติมีเดีย

BPS ครึ่งปีแรกปี68 เดินหน้าลงทุนตามแผน มุ่งสร้างนวัตกรรมหนุนผลงานเติบโต

BPS ครึ่งปีแรกปี68 เดินหน้าลงทุนตามแผน มุ่งสร้างนวัตกรรมหนุนผลงานเติบโต

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้