Market Wrap-Up
- SET วันที่ 17 ก.ค.68 ปิด +40.48 จุด อยู่ที่ 1,198.11 จุด มูลค่าการซื้อขาย 63,375 ลบ. ต่างชาติซื้อ 2,495 ลบ. สถาบันซื้อ 1,074 ลบ. พอร์ตโบรกซื้อ 875 ลบ. และรายย่อยขาย 4,444 ลบ. NVDR มียอดซื้อสุทธิ 1,060 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น DELTA,TOP,ADVANC,PTTEP,CPF และยอดขายหุ้น AOT,CPALL,CPN,GULF,BDMS มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 3,213 ลบ.หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ JPAN1001,TSLA01,CPAXT โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Long ใน Index Futures จำนวน 16,085 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 128,330 สัญญา ต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 291 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ +0.52%, S&P500 +0.54%, Nasdaq +0.75% หลังตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯออกมาดีกว่าตลาดคาดและรายงานผลประกอบการ 2Q68 หลายตัวออกมาดี ส่วนตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 +0.96% หลัง ABB และ Legrand รายงานกำไร 2Q68 แข็งแกร่ง
- Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวก โดย S&P500 และ Nasdaq ยังทำ new high นักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจและรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยยอดค้าปลีกในเดือนมิ.ย.+6%MoM (คาด +0.2%MoM) vs เดือนพ.ค.-0.9%MoM และยอดค้าปลีกในเดือนมิ.ย.+ 3.9%YoY vs เดือนพ.ค.+3.2%YoY ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 221,000 ราย (ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 232,000 ราย) ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งบ่งชี้ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการรายงานกำไร 2Q68 ของ บจ.ออกมาดีกว่าคาดอย่าง PepsiCo, United Airlines, TSMC, Netflix ทั้งนี้บริษัทราว 50 แห่งใน S&P 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการไปแล้ว 88% มีกำไรสูงกว่าคาด
- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ดัชนี STOXX 600 +0.96% นำโดย ABB ที่มียอดสั่งซื้อรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากความต้องการสินค้าหม้อแปลงที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลเพื่อสนับสนุน AI หนุนหุ้น Legrand, Schneider Electric ปรับขึ้นตาม ขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปฟื้นตัวตามการรายงานกำไรของ TSMC และการฟื้นตัวของราคาหุ้น ASML ข้อมูลคาดการณ์ล่าสุดจาก LSEG บ่งชี้ว่าภาพรวมสถานะของบริษัทในยุโรปแย่ลง โดยคาดว่ากำไร 2Q68 จะลดลง 7%YoY โดยนักลงทุนยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ EU โดย EU เตรียมมาตรการตอบโต้หากการเจรจากับสหรัฐฯ ล้มเหลว ส่วนตัวเลขการจ้างงานของอังกฤษในเดือนมิ.ย.ลดลง 41,000 คนและอัตราการเติบโตของค่าจ้างอยู่ที่ 5% ชะลอตัวลงช้ากว่าที่คาด โดยเป้าหมายของ BoE อัตราการเติบโตของค่าจ้างต้องลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3% เพื่อควบคุมให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เคียงเป้าหมายที่ระดับ 2%
- ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ดัชนี Shanghai Composite +0.37% ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI จาก Nvidia จะเพิ่มการจัดส่งชิป H20 ให้กับจีน และกลุ่มรถยนต์ที่มีข่าวรัฐบาลจะเข้าไปควบคุมการแข่งขันที่รุนแรงและสงครามราคาที่เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์ EV ประกอบกับตลาดมีความคาดหวังเชิงบวกจากข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการจัดประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ดัชนี Hang Seng -0.08% นักลงทุนกังวลเรื่องมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บประเทศเล็กๆและไม่ได้มีการค้าขายกับสหรัฐฯมากในอัตรา 10-15% ด้านดัชนี Nikkei +0.60% หนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังบริษัท TSMC ของไต้หวันซึ่งเป็นผู้รับจ้างผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการเปิดเผยจำนวนนักท่องเที่ยวในรอบ 1H68 ที่เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดัชนี KOSPI +0.19% แรงซื้อหุ้นกลุ่มรถยนต์และต่อเรือ
- SET ปิด +3.50% ปริมาณการซื้อขาย 34 หมื่น ลบ. ต่างชาติซื้อ 2,495 ลบ. สถาบันซื้อ 1,074 ลบ. พอร์ตโบรกซื้อ 875 ลบ. และรายย่อยขาย 4,444 ลบ. ภาพรวมดัชนีมีแรงซื้อต่อจากความคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลยื่นข้อเสนอใหม่ โดยจะการลดภาษีสินค้านำเข้าให้กับสหรัฐฯ 0% หลายรายการเพื่อปรับลดภาษีลงมาจาก 36% นอกจากนี้หุ้น Big Cap ที่ปรับขึ้นเด่นนำตลาด DELTA(+16%) และ AOT(+11%) ส่งผลบวกต่อ SET 21.94 จุด โดยมีความคาดหวังผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ จะมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย รวมถึง sentiment การท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวในเดือนก.ค.และเก็งกำไรจากการแสดงวิสัยทัศน์ของอดีตนายกทักษิณเมื่อวานนี้ ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นบวกจากแนวโน้มค่า Ft ที่ทรงตัวหรืออาจเพิ่มขึ้นในรอบเดือนก.ย.-ธ.ค. ทั้งนี้ปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อเนื่องในสัปดาห์หน้าได้แก่ 1.การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ก่อนเส้นตาย 1ส.ค. ซึ่งข้อเสนอใหม่ของไทย คาดว่าจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเป็น 0% ใน 90% ของรายการสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยไทยตั้งเป้าปิดดีลที่ภาษี 18-20% 2.ประเด็นการเมือง คดีชั้น 14 คดี ม.112 ของทักษิณ คลีคลิปเสียง ฮุนเซน-นายกฯ แพทองธาร ต่างมีน้ำหนักต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และกรณีฮั้ว สว. 3.การรายงานผลประกอบการ 2Q68 ซึ่งเริ่มด้วยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยคืนวานนี้ BBL รายงานกำไรสุทธิ 2Q68 ที่ 1.18 หมื่นล้านบาท +0.28%YoY -6.17%QoQ สูงกว่า Bloomberg Consensus 7% มีแรงหนุนจากกำไรในส่วนของเงินลงทุน ขณะที่ NIM ลดลงYoY QoQ มาอยู่ที่ 2.85%/ NPL สูงขึ้น YoY QoQ มาอยู่ที่ 3.2% และ 4.ทิศทาง Fund Flow ต่างประเทศ
Daily Strategy
- ประเมินดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,180-1,125 จุด ภาพรวมดัชนี้มีโมเมนตัมบวก แต่อาจระมัดระวังแรงขายทำกำไรบางส่วนหลังขึ้นมาแรง แนะนำ “เก็งกำไร” กลุ่มส่งออก-นิคม-ท่องเที่ยว (เจรจาการค้าคืบหน้า-นักท่องเที่ยวฟื้นตัวระยะสั้น) เช่น CCET, KCE, HANA, ITC, ASIAN, COCOCO, WHA, AMATA, MINT,CENTEL, ERW, SPA, AU, AAV, BA / “ทยอยซื้อ” กลุ่ม China Play(คาดจีนออกม.กระตุ้นในการประชุม Politburo ปลายเดือน) เช่น PTTGC, SCC, IVL, SCGP และ 2.กลุ่มการเงิน (แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายปรับลงใน 2H68) TIDLOR, MTC, NCAP, BAM.
- MINT* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 35.25 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 2Q68 มีปัจจัยหนุนจากธุรกิจโรงแรมที่ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) และอัตราการเข้าพักปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะโรงแรมในยุโรปที่เป็นช่วง high season ชดเชยธุรกิจโรงแรมในไทยและธุรกิจอาหารที่อ่อนตัวลงตามฤดูกาล การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน และการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว ก่อนที่จะกลับมาดีอีกครั้งใน 4Q68 ทั้งผู้บริหารยังคงเป้าปี 68 กำไรเติบโตในระดับ 15-20% หนุนจากการเติบโตของธุรกิจหลักและกับต้นทุนการเงินลดลงจากการชำระคืนหนี้ที่ทำมาต่อเนื่อง โดยจะมี D/E อยู่ที่ระดับ 75x ภายในปีนี้ เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์ asset light ควบคุมต้นทุน รักษาความสามารถในการทำกำไร ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68 ที่ 8.9 พันล้านบาท +15%YoY ส่วนปี 69 คาดกำไรสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท +12%YoY
- SHR* (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 2.61 บาท) หุ้นท่องเที่ยวมี sentiment บวกจาก ม.เที่ยวไทยคนละครึ่ง รวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยวันที่ 7-13 ก.ค.68 +0.30%WoW ทั้งนี้ ในส่วนของ SHR คาดว่าการดำเนินงานปกติ 2Q68 จะมีแรงหนุน YoY จากจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามัลดีฟส์ +16%YoY และเมื่อมองในช่วงหลังไตรมาส2 ถัดไป 1-15ก.ค.68 นักท่องเที่ยวเข้ามัลดีฟส์ยัง +14%YoY ขณะที่เดือนก.ค.-ส.ค.เป็นHigh Season ของโรงแรมใน UK ปัจจุบัน ตลาดคาด Profit ปี68 และ69 ของ SHR* ที่ 407 ลบ.(+154%YoY) และ 494 ลบ.(+21%YoY) ตามลำดับ
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI ส.ค.+1.16$ อยู่ที่ $67.54/ บาร์เรล, Brent ก.ย. +1.00$ อยู่ที่ $69.52/บาร์เรล ปรับตัวขึ้นรับข่าวบ่อน้ำมันในอิรักถูกโจมตีติดต่อกันเป็นวันที่4
Gold Update(+) Comex Gold ส.ค.-13.80$ อยู่ที่ $3,345.30 /ออนซ์ เคลื่อนไหวผกผันกับ Dollar Index ที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่ตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้เงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย
Fund Flow(+) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ซื้อสุทธิ 115.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นอินโดฯ 39.18 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทย 76.76 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และขายหุ้นฟิลิปปินส์ -0.43 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ 32.44 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 4.4473 %
(+) ดัชนี BDI วานนี้ +120 จุด อยู่ที่ 2,030
(+) BitCoin เช้านี้ +0.72% อยู่ที่ 120,187 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
16 ก.ค. ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม
31 ก.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย
สัปดาห์ที4 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วน
ยานยนต์
กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ
สศค.รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค,ดัชนี
ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค
สศอ. แถลงดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม
ต่างประเทศ
15 ก.ค. CN ดัชนีจีดีพี (GDP) ของจีน (ไตรมาส 2)
US ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) (มิ.ย.)
16 ก.ค. US ดัชนีผู้ผลิต (PPI) (มิ.ย.)
US สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ
17 ก.ค. EU ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) (ปีต่อปี) (มิ.ย.)
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
US ดัชนียอดขายปลีก (มิ.ย.)
US ดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟีย ( ก.ค.)
Theme Strategy
Theme หุ้นที่มีปัจจัยบวกตามกระแส Megatend, ทิศทางดอกเบี้ยเริ่มเข้าสู่ขาลง, และ/หรือ สามารถรับจากความเสี่ยง Trade War ได้
(1) กลุ่มการเงิน Leasing รับแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยในประเทศลดลง NCAP*, S11*, SINGER* ,SGC* ,THANI*
(2) กลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า หุ้น defensive ได้ประโยชน์จาก Bond yield ที่ปรับลดลง ธุรกิจหลักมีการเติบโตสอดคล้องเศรษฐกิจใหม่ ADVANC ,TRUE ,GULF*, GPSC*, BCPG
(3) กลุ่มเกษตรได้ประโยชน์จากราคาสุกรในประเทศที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่การส่งออกไก่ไปต่างประเทศยังทำได้ดี CPF, BTG* ,TFG* ,FM* ,GFPT
(4) กลุ่ม China Play คาดความดึงเครียดทางการค้าผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แม้ยังมีความผันผวนแต่หุ้นที่เกี่ยวข้องมี valuation ที่ปรับตัวลงมาต่ำมากแล้ว น่ากลับไปหาจังหวะเก็งกำไร SCC* ,SCGP* ,PTTGC
(5) กล่มสินค้า IT ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี ADVICE* ,COM7* SYNEX*,SIS*
(6) สินค้าจำเป็นและการบริโภคในชีวิตประจำวันที sensitive น้อยต่อกำลังซื้อในประเทศชะลอตัว เช่น CPALL , MALEE*, BJC ,OKJ*, NSL*
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 50% Fixed Income 35% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio May 2025: MONO*, PR9*, IVL*,PTTGC*,GULF*, TIDLOR*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Meena Tunlayanitigun
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 033662
Tel 02-829-6999
Email : meena.tu@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th