Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ฟิทช์ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ พีทีที โกลบอล เคมิคอล ที่ ‘A(tha)’

129

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(7 กรกฎาคม 2568)---------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ที่ ‘A (tha)’ ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (อันดับเครดิตสากลระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating) ที่ BBB- และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) หุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวมีจำนวนไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดและมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยได้โดยไม่มีเงื่อนไข

หุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับเครดิตให้อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC ซึ่งอยู่ที่ ‘AA-(tha)’ อยู่ 2 อันดับ ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์เรื่อง “Corporate Hybrids Treatment and Notching Criteria” เพื่อสะท้อนถึงสถานะด้อยสิทธิซึ่งมีแนวโน้มที่จะต้องรองรับผลขาดทุนที่สูงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับหนี้อื่นๆ ของบริษัท

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

ส่วนของหนี้ที่คิดเป็นทุน: ฟิทช์พิจารณาให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวมีส่วนของหนี้ที่คิดเป็นทุน (Equity Credit) ร้อยละ 50 ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์เรื่อง “Corporate Hybrids Treatment and Notching Criteria” โดยลักษณะที่คล้ายทุนของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวประกอบด้วย สถานะด้อยสิทธิ การมีระยะเวลาไถ่ถอนที่น่าจะเป็น (Effective Maturity) คงเหลือมากกว่า 5 ปี สิทธิของผู้ออกหุ้นกู้ในการเลื่อนการชำระดอกเบี้ย และการกำหนดเหตุผิดนัดที่จำกัด ส่วนของหนี้ที่คิดเป็นทุนถูกจำกัดที่ร้อยละ 50 เนื่องจากดอกเบี้ยที่มีการเลื่อนการชำระจะต้องมีการสะสมเอาไว้ชำระภายหน้า

กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่น่าจะเป็น: ฟิทช์พิจารณาว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวไม่มีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่น่าจะเป็น (Effective Maturity) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวจะมีการปรับเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 1 ซึ่งเป็นตามหลักเกณฑ์ของฟิทช์ อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวจะมีการปรับขึ้นร้อยละ 0.25 ในปีที่ 10.5 และดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นสะสมร้อยละ 1 ในปีที่ 25.5

อัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับสูง: EBITDA Net Leverage ของ PTTGC ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.6 เท่า ณ สิ้นปี 2567 จาก 6.9 เท่า ในปี 2566 เนื่องจากกำไรที่ต่ำกว่าที่ฟิทช์เคยคาดการณ์ไว้ ฟิทช์คาดว่าความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตของ PTTGC จะอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่า EBITDA Net Leverage จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4-5 เท่า ในปี 2568 และ 2569 จากกำไรที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตามการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว น่าจะช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC ปรับตัวดีขึ้นประมาณ 0.2 เท่า

กำไรที่ฟื้นตัวล่าช้า: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจาหน่าย (EBITDA) ของ PTTGC น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 3.2-3.9 หมื่นล้านบาท ต่อปี ในปี 2568 - 2569 (ปี 2567 อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท) และปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ในปี 2571-2572 อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ที่อ่อนแอกว่าที่คาด อาจทำให้การฟื้นตัวของกำไรล่าช้าออกไป

ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์เคมีที่ต่ำ: ฟิทช์คาดว่า การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จะยังคงอ่อนแอในปี 2568 เนื่องจาก ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของความต้องการของผู้บริโภคจากประเทศจีน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ช้าลง และสภาวะกำลังการผลิตที่เกินความต้องการ จะยังคงกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีนน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนการเกิดสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด อย่างน้อยจนถึงปี 2569 สงครามทางการค้าที่รุนแรงขึ้น น่าจะส่งผลกดดันต่ออุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแอ ฟิทช์คาดว่ากำลังผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2568 และ 2569 แม้ว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะถูกลดทอนบางส่วนจากการหยุดเดินเครื่องของกำลังการผลิตในอุตสาหกรรม

เป้าหมายในการลดหนี้สินของบริษัทฯ: กำไรที่ฟื้นตัวล่าช้า จะส่งผลต่ออัตราส่วนของหนี้สินของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่า PTTGC กำลังจัดทำแผนกลยุทธ์ทางเลือกในการลดหนี้สิน นอกเหนือการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน การลดรายจ่ายจากการดำเนินงาน การขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ซึ่งอาจเพิ่มความยืดหยุ่นในการลดหนี้สิน หากการฟื้นตัวของกำไรล่าช้ากว่าที่ฟิทช์คาด

แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ในระดับปานกลาง: การปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทฯ สะท้อนถึงแรงจูงใจของบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ปตท. ในการให้การสนับสนุน จากความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน (Operational incentive) แก่ PTTGC ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) ฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง PTTGC เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญด้านกลยุทธ์ต่อ ปตท. นอกจากนี้ PTTGC ยังเป็นผู้รับซื้อวัตถุดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของ ปตท.

การขยายเทอมการชำระเงินช่วยเสริมความคล่องตัวทางการเงิน: ฟิทช์มองว่าการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อวัตถุดิบจาก ปตท. นั้น จะช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินให้กับ PTTGC ในการบริหารจัดการอัตราส่วนหนี้สิน PTT ได้ขยายเทอมการชำระเงินเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งน่าจะช่วยลดความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน จำนวนประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ในปี 2568

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

PTTGC มีสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่า Alpek, S.A.B. de C.V (อันดับเครดิตที่ ‘BBB-‘/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) เล็กน้อย โดย Alpek เป็นผู้นำในธุรกิจ PTA, PET rPET และ Expandable Polystyrene ในทวีปอเมริกา ในขณะที่ PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน ประมาณร้อยละ 92 ของรายได้ของ Alpek มาจากผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ที่มีความผันผวนต่ำ ในขณะที่การเข้าซื้อกิจการของ Allnex ได้ทำให้กำไรของ PTTGC มีเสถียรภาพมากขึ้น และทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจาหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ปรับตัวดีขึ้น อันดับเครดิตของ Alpek อยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ ‘bb’ อยู่ 2 อันดับ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินของ Alpek อยู่ในระดับต่ำกว่าของ PTTGC

สถานะทางธุรกิจของ PTTGC ก็มีลักษณะใกล้เคียงกันกับของ Braskem S.A. (อันดับเครดิตที่ ‘BB’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) Braskem มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า PTTGC แต่มีผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน และการก่อสร้าง ซึ่งทำให้กำไรของ Braskem มีความผันผวนมากกว่า เนื่องจากบริษัททั้งสองมีสถานะทางการเงินใกล้เคียงกัน อันดับเครดิตของ Braskem จึงเท่ากับ อันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ ‘bb’

สถานะทางธุรกิจของ Synthos Spolka Akcyjna (อันดับเครดิตที่ ‘BB’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) อ่อนแอกว่า PTTGC จากขนาดของธุรกิจที่เล็กว่า การกระจายตัวของรายได้ที่น้อยกว่า และสถานะการเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอกว่า แม้ว่าธุรกิจ Synthetic Rubber จะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากการเข้าซื้อทรัพย์สินจาก Trinseo Synthos มีอัตราส่วนหนี้สินที่ดีกว่า PTTGC เล็กน้อย ซึ่งไม่เพียงพอที่จะชดเชยสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่า ทำให้ Synthos มีอันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC

สถานะทางธุรกิจของ PTTGC แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า TOP

สมมุติฐานที่สำคัญ:
- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 และ 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2569 โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC;
- กำไรของธุรกิจปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2568 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาและอุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแออยู่ จะกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบ
- ค่าการกลั่นที่ไม่รวมกำไร/ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ปรับตัวดีขึ้นในปี 2568 เป็นต้นไป
- การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. ต่อเนื่องจนถึงปี 2568-2569
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนรวมจำนวน 6.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568-2570
- จ่ายเงินปันผลร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม
- รวมงบการเงินของบริษัทลูก บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด (อันดับเครดิตที่ ‘BBB(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ตามสัดส่วนการถือหุ้นของ PTTGC


ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยลบ:
- บริษัทฯ ไม่สามารถปรับลดอัตราส่วน EBITDA Net Leverage ตามที่ฟิทช์คาดการ ให้ไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 4 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่ลดลง

ปัจจัยบวก:
- EBITDA Net Leverage ปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่เพิ่มขึ้น

สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: PTTGC มีหนี้ทั้งหมด จำนวน 2.3 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม ปี 2568 โดยหนี้จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า สภาพคล่องของ PTTGC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 3.7 หมื่นล้านบาท และ กระแสเงินสดจากการขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. นอกจากนี้ PTTGC มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งตลาดเงินกู้ จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ ปตท. และสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทย

เกี่ยวกับบริษัท
PTTGC เป็นบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและกลั่นน้ำมันครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และเคมีจำนวน 14 ล้านตันต่อปี และมีกำลังการกลั่นน้ำมันที่ 2.8 แสนบาร์เรลต่อวัน ณ สิ้นปี 2567

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้