DELTA : ปรับลดเป็น “ขาย“ เนื่องจากความเสี่ยงใน 2H25F และการประเมินมูลค่าที่สูง

ผลประกอบการคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการจ่ายเงินชดเชยคดีความ
เราคาดว่า DELTA จะทำกำไรหลักได้ 5.1 พันล้านบาทใน 2Q25F อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิน่าจะอ่อนแอเนื่องจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินชดเชยคดีความ เพื่อแก้ไขปัญหาคดีละเมิดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันมาเป็นเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา สำหรับ 2H25F เรายังคงมองอย่างระมัดระวังต่อระดับความต้องการที่ปกติและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับภาษีนำเข้าและใบอนุญาต AI สำหรับการส่งสินค้า ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้โครงการหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ในขั้นตอนดำเนินการช้าลงหรือล่าช้า เราปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” เนื่องจากเชื่อว่าราคาหุ้นได้รับการประเมินมูลค่าเต็มที่แล้ว

ยังคงคาดหวังกำไรหลักใน 2Q25F ที่ซบเซา 5.1 พันล้านบาท ลดลง 14% YoY
ยอดขายใน 2Q25F คาดว่าจะเติบโต 17% YoY ในแง่ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 1,320 ล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กำลัง ซึ่งคาดการณ์จะเพิ่มขึ้น 28% YoY จากคำสั่งซื้อเร่งด่วน ขณะเดียวกัน ยอดขายในธุรกิจโมบิลิตี้คาดว่าจะลดลง 13% YoY เนื่องจากอัตราการยอมรับที่ช้าและความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับภาษี GPM คาดการณ์จะอ่อนตัวเหลือ 25.2% ลดลงจาก 26.9% ใน 2Q24 ถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ/บาทที่แข็งค่าขึ้น 9.8% YoY เป็น 33.1 บาทต่อดอลลาร์ แม้จะมีส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น เราคาดว่าค่าใช้จ่ายปฏิบัติการจะลดลงเหลือ 12.3% ของยอดขาย (เทียบกับ 12.9% ใน 2Q24) ส่งผลให้ EBIT ลดลง 3% YoY เหลือ 5.64 พันล้านบาท

2H25F ท้าทายมากขึ้นเนื่องจากสหรัฐฯ วางแผนเข้มงวดการจำกัดการส่งออก AI
แนวโน้มของ 2H25F ยังคงท้าทายท่ามกลางแผนของสหรัฐฯ ที่จะเข้มงวดการจำกัดการส่งออก AI แม้ว่าผลกระทบเต็มรูปแบบจาก Trump Tariffs 2.0 และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นจะยังคงยากต่อการประเมิน แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณของการหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้นในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ พิจารณาการจำกัดเฉพาะเจาะจงต่อไทยและมาเลเซีย แม้ว่า DELTA จะไม่เปิดเผยปลายทางลูกค้าขั้นสุดท้าย แต่เราเชื่อว่าผลกระทบควรจะจำกัด น่าจะน้อยกว่า 10% ของยอดขายทั้งหมด

ปรับลดคำแนะนำป็น “ขาย” สำหรับ DELTA พร้อมมูลค่าที่เหมาะสมที่ปรับใหม่ 76.10 บาท
เราลดคำแนะนำเป็น “ขาย“ พร้อมมูลค่าที่เหมาะสมปี 2026 ที่ปรับใหม่ 76.10 บาท (จาก 67.00 บาทก่อนหน้า) โดยใช้ P/E 38 เท่า ความเสี่ยงหลักประกอบด้วย บาทแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่ชะลอตัวและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์