สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(20 มิถุนายน 2568)-----------ในการประชุมกนง. วันที่ 25 มิ.ย. 2568 นี้ คาดกนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% หลังปรับลดมาแล้ว 0.50% ในปีนี้ เนื่องจาก
• กนง. คงรอประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย โดย ณ ขณะนี้ สหรัฐฯ ยังคงชะลอการเก็บภาษีตอบโต้กับไทยรวมถึงประเทศอื่นๆ ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค. 2568
• อีกทั้ง คงต้องติดตามสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางเงินเฟ้อของไทย เนื่องจากเงินเฟ้อของไทยมีความเชื่อมโยงค่อนข้างสูงกับราคาพลังงาน
• ภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ชะลอลงจากการประชุมในครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กนง. มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายการเงิน (monetary policy space) สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เหมาะสมและก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในระยะข้างหน้า
• นอกจากนี้ ธปท. มีการใช้นโยบายทางการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะ “มาตรการคุณสู้เราช่วย” ซึ่งธปท. มองว่าอาจช่วยบรรเทาปัญหาหนี้ได้อย่างตรงจุด
ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้
• นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนหลังสิ้นสุดการชะลอปรับขึ้นภาษี 90 วัน แต่คาดว่าจะเห็นส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวลึกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากมีการเร่งส่งออกอย่างมากในช่วงก่อนหน้า
• จำนวนนักท่องเที่ยวมีโมเมนตัมอ่อนแรงลงตั้งแต่เดือนก.พ. ที่ผ่านมา และยังคงไม่เห็นภาพการฟื้นตัว ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวในปีนี้เผชิญความเสี่ยงที่จะเห็นการหดตัวของนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
• แรงกดดันเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง แม้สถานการณ์ตะวันออกกลางผลักดันราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นชั่วคราว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลงประกอบกับมีการไหล่บ่าเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูก
• ปัญหาด้านเสถียรภาพของรัฐบาลอาจส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณและแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่งผลให้โอกาสที่กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งนั้นมีมากขึ้น อย่างไรก็ดี จังหวะในการปรับลดดอกเบี้ยคงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ การคัดเลือกผู้ว่าธปท. คนใหม่ ที่จะเริ่มเข้าดำรงตำแหน่งในเดือนต.ค. 2568 เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในไตรมาส 4/2568 ของปีนี้เป็นต้นไป