ภาพตลาดและแนวโน้ม
ความสัมพันธ์ระหว่าง OpenAI กับ Microsoft กำลังเผชิญความตึงเครียด แม้จะเคยเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้าน AI ที่ใกล้ชิดที่สุด โดย OpenAI กำลังพิจารณายื่นคำร้องผูกขาดต่อหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ กล่าวหา Microsoft ใช้อำนาจเหนือโครงสร้างพื้นฐานและสัญญาเพื่อควบคุมนวัตกรรมและการดำเนินงานของตน โดยเฉพาะในเทคโนโลยี AGI ที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคต
ความขัดแย้งครั้งนี้มีสาเหตุมาจาก 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ความพยายามของ OpenAI ที่จะปรับสถานะองค์กรเพื่อเปิดทางสู่การระดมทุนและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต, ความไม่ลงรอยเรื่องการถือสิทธิ์ในเทคโนโลยีใหม่อย่าง Windsurf และความพยายามของ OpenAI ที่จะลดการพึ่งพา Microsoft ด้วยการจับมือกับคลาวด์รายอื่นอย่าง Google หรือ Amazon ซึ่ง Microsoft ต่อต้านเต็มที่
หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ความตึงเครียดระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ปี 1998 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เคยฟ้องร้อง Microsoft ฐานผูกขาดเบราว์เซอร์ Internet Explorer จนกลายเป็นหนึ่งในคดีผูกขาดที่สำคัญที่สุดของยุคดิจิทัล แม้สุดท้าย Microsoft จะไม่ถูกแยกบริษัท แต่ก็ต้องยอมเปลี่ยนแนวทางธุรกิจ ซึ่งทำให้การแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีเปิดกว้างมากขึ้น
เช่นเดียวกับประเด็นล่าสุด ที่ OpenAI พยายามเปลี่ยนสถานะองค์กรเพื่อเพิ่มอิสรภาพ และ Microsoft ต่อต้านเพราะไม่ต้องการเสียสิทธิ์เชิงพาณิชย์ ล้วนสะท้อนความทับซ้อนระหว่างการเป็นพันธมิตรและคู่แข่ง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เราคุ้นเคยในโลกเทคโนโลยี นอกจากนี้หากมองให้ลึกลงไปมันก็มีโอกาสที่ซ่อนอยู่ในความขัดแย้ง ดังต่อไปนี้
1 Microsoft จะเร่งพัฒนา AI Infrastructure และโมเดลของตนเอง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดองค์กร โดยต่อยอด Copilot และ Azure AI ให้ลึกและกว้างยิ่งขึ้น
2 OpenAI มีโอกาสขยายเครือข่ายพันธมิตร เพิ่มอำนาจต่อรอง และระดมทุนในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าสู่ตลาดทุนในอนาคต
3 การกำกับดูแลจากรัฐอาจช่วยลดอำนาจผูกขาด เปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นรายใหม่ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรมในระยะยาว
กล่าวโดยสรุป ประวัติศาสตร์ของบริษัทเทคโนโลยีในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า การถูกท้าทายจากหน่วยงานรัฐหรือพันธมิตร ไม่ได้หมายถึงความล้มเหลวทางธุรกิจเสมอไป แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตัวเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งอาจทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องค้นพบโมเดลธุรกิจที่สมดุลกว่าเดิม
สรุปภาพตลาดวานนี้
SET เครื่องติดๆ ดับๆ แต่ที่แน่ๆ เมื่อวานเป็นการหมุน Global ไปเก็งฯ Domestic ชัดเจน (แต่เราไม่คิดว่าจะต่อเนื่อง) โดยแรงขายออกจาก PTT PTTEP PTTGC TOP DELTA ไปสู่ AOT CPAXT MTC TIDLOR BDMS KBANK SCB เป็นต้น ขณะที่หุ้นวิ่งแรงกว่าปกติพร้อมปริมาณการซื้อขาย เช่น SAPPE (ประกาศซื้อหุ้นคืน) PMC BKA MINT OKJ เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้
ดักเก็บ! หุ้นงบแววดี Q2
แม้ว่าระยะสั้นราคาหุ้นกลุ่ม โรงกลั่น ปิโตรฯ น้ำมัน จะถูกขายทำกำไรบ้าง (เช่นเมื่อวาน ลบไปเฉลี่ย 3-4%) เพราะขึ้นมาจากโซนล่าง โดยเฉลี่ยบวกไปแล้วกว่า 10-15% แต่เรายังคงเลือกที่จะ ถือหุ้นกลุ่มนี้ต่อไป โดยไม่หวั่นไหวกับ ประเด็น หรือกระแสที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัย เหนือการควบคุมในต่างประเทศ เช่น ภัยสงคราม ฯลฯ
ด้วยเราเล็งไปที่แนวโน้มงบที่เห็นผ่าน การติดตามส่วนต่างราคา และผลิตภัณฑ์ มาอย่างต่อเนื่อง (รายงาน Weekly Commodity) ซึ่งยืนยันภาพการฟื้นตัวของกำไร Q2 นอกจากนี้เมื่อเทียบ Valuation แล้ว น่าจะสบายใจกว่าซื้อการหุ้น High PE/ PBV ในเวลานี้ ที่มีความเสี่ยงของการ โดนด้อยค่า PE
และเรา (กลยุทธ์) ก็ยังไม่พร้อม ที่จะเทรดหุ้นตามกระแส หรือโมเมนตั้มในช่วงนี้ เช่น รู้ว่าหุ้นลงแรงต้องมี Cover short ยกตัวอย่าง AOT MINT แต่เราก็ไม่แนะนำให้ ซื้อปิด-ขายเปิด หรือสลับกลุ่มกลับลำมาเล่นรอบ เพราะยังมีความเสี่ยงขาลง อิงจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น
เช่นเดียวกับ หุ้นธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสารฯ ท่องเที่ยว อุปโภคบริโภค ในประเทศ แม้ราคาหุ้นจะยังทรงตัว หรือมีแรงซื้อคืนทำให้ราคากระตุกขึ้นมาบ้าง (เช่นเมื่อวาน)...เรายังระวังการไล่ราคาซื้อหุ้นเหล่านี้ เพราะในช่วงที่ใกล้ Preview งบการเงินไตรมาส 2 เราเห็นสัญญาณเชิงลบชัด จากยอดสินเชื่อ ที่ชะลอ สอดคล้องกับ ความระมัดระวังในการตั้งสำรองเพื่อ รองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ทั้งจากปัจจัยภายใน และ ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค นอกประเทศ
ทำให้พอร์ตกลยุทธ์ ยังคง ถือหุ้นเชื่อมโยงสินค้าโภคภัณฑ์ และเศรษฐกิจโลกต่อไปอีกระยะ โดยเราจะรอจนกว่าหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจในประเทศเริ่มนิ่งมากกว่านี้ ค่อยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร เล่นรอบ เน้นไปที่หุ้น 1Q25 ส่อแววผ่านจุดต่ำสุด และเริ่มจะเห็นสัญญาณของการฟื้นตัว เช่นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
วิเคราะห์ทางเทคนิค
ดัชนีระหว่างวันเริ่มมีแรงฮึดสู้ มีสลับรีบาวด์เป็นระยะๆ นอกจากนี้หุ้นปิดเขียว มีจำนวนเพิ่มขึ้น….การที่ดัชนีปรับตัวลงต่อเนื่อง -8% จากจุดยอดที่ 1,231 จุด ส่งผลให้ RSI เข้าใกล้เขต oversold และกำลังปิดช่องว่าง (close gap) ที่ 1,100 จุด อาจส่งผลให้ตลาดมีลุ้นฟื้นตัวกลับ ลุ้นปิดบวกได้ไม่ยาก ขณะที่ภาพรวมหุ้นที่ถูกเท ทิ้งดิ่ง ลงลึก เช่น AOT,CPAXT, MINT, BDMS รวมถึงหุ้นแบงค์ใหญ่ คาดว่ามีแรง cover short สวนทางกับกลุ่ม Global play ที่ปรับลง อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากลุ่มนี้ยังไม่จบรอบขึ้น แนะเกาะติดประเด็น Trade talk การเจรจาการค้าอาจจะมีความชัดเจนมากขึ้นก่อนถึง dead line 9 ก.ค. นี้
What to watch
สื่อกัมพูชารายงาน รัฐบาลกัมพูชาห้าม การนำเข้าผักและผลไม้จากไทยผ่านพรมแดนเข้าสู่กัมพูชา โดยสิ้นเชิง (ยังไม่ได้ลามไปยังสินค้าอื่นใน บจ.เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง ดังนั้นคาดผลกระทบยังคงมีจำกัดต่อ CBG)
"เที่ยวไทย คนละครึ่ง" เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียน ก่อนเสนอบอร์ดกระตุ้นศก. พรุ่งนี้ (18 มิ.ย.) ก่อนจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท
คณะกรรมการค่าจ้าง เคาะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ใน กทม. เป็น 400 บาท และกิจการโรงแรม ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ มีผล 1 ก.ค.68 คาดมีแรงงานได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ประมาณกว่า 700,000 คน (Thai BPS)
ครม. อนุมัติหลักเกณฑ์ “ซื้อหุ้นคืน” ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) เผยไม่ต้องมีระยะเวลาพักคอย 6 เดือนหลังซื้อหุ้นคืนเสร็จและต้องการซื้อหุ้นคืนใหม่ พร้อมขยายระยะเวลาการขายหุ้นคืนจาก 3 ปี เป็น 6 ปี ด้าน “ศ.พิเศษ กิติพงศ์” ประธานตลาดหลักทรัพย์ มั่นใจส่งผลดีต่อบจ. และคาดจะมีบจ.เข้ามาซื้อหุ้นคืนมากขึ้น (ข่าวหุ้น)
ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ตลาดคาด Dotplot ปรับลดมุมมองการลดดอกเบี้ยปีนี้ลงเหลือ 1 ครั้ง และคงดอกเบี้ยในการประชุมวันพุธนี้
สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงตึงเครียด โดยอิสราเอลเดินหน้าใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีอิหร่านอย่างต่อเนื่องเพื่อทำลายโครงการนิวเคลียร์ และอิหร่านก็ตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและส่งโดรนจำนวนมากเข้าโจมตีอิสราเอล ขณะที่สื่อรายงานว่ากองทัพสหรัฐฯ กำลังส่งเครื่องบินขับไล่เข้าไปประจำการในตะวันออกกลางเพิ่มเติม และขยายเวลาการประจำการของเครื่องบินรบอื่น ๆ
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เตือนประชาชนในกรุงเตหะรานให้เร่งอพยพ พร้อมกับเรียกร้องให้อิหร่านล้มเลิกความทะเยอทะยานที่จะครอบครองนิวเคลียร์และหันมาทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ โดยล่าสุดปธน.ทรัมป์เรียกร้องให้อิหร่าน "ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข"
หุ้นแนะนำวันนี้
TOP แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2 เติบโตดี และปันผลสูง
แนวรับ 27.75 ต้าน 30 Stop loss 27
รายงานพื้นฐานวันนี้
TRUE
ทรู คอร์ปอเรชั่น
ประเด็นหนุนมี แต่แรงกดดันก็มาด้วย
คาดกำไรหลัก 2Q25 ที่ 3,963 ล้านบาท เติบโต 85% YoY จากรายได้บรอดแบนด์ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนที่ลดลงทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ลดลง 7% QoQ ตามรายได้มือถือที่อ่อนตัว (ผลกระทบของระบบล่ม) และภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดรายได้มือถือที่ 3.22 หมื่นลบ. (-2% YoY, -2% QoQ) ขณะที่รายได้ FBB อยู่ที่ 6.5 พันลบ. (+3% YoY, +2% QoQ) ส่วนธุรกิจทีวีและบันเทิงคาดลดลงต่อเนื่อง เหลือ 1.5 พันลบ. (-10% YoY, -1% QoQ)
แนวโน้ม 3Q25 แม้กำไรยังโต +24% YoY แต่ลด -9% QoQ ประเด็นหลัก คือ การชิงฐานลูกค้าจาก ADVANC-JAS ที่เปิดดูฟรีไทยลีก และคาดว่าจะเปิดแพ็ค EPL ราคาถูก ซึ่งอาจทำให้ TRUE อาจต้องเสียฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มทีวี (ปัจจุบันมี 2 แสนราย, เป็น EPL อย่างเดียวราว 4 หมื่นราย) และมือถือบางส่วน
อย่างไรก็ดี TRUE ก็ยังเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์เต็มจากการประมูลคลื่น 2100/2300 MHz ที่ช่วยลดค่าเช่า NT โดยตรง หนุนกำไรปี 2025 คาดโต +59% YoY เป็น 1.46 หมื่นลบ.
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” และเราปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 15 เป็น 15.50 บาท อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นมีแรงหนุนก่อนประมูลคลื่น แต่ความเสี่ยงจากการแข่งขันโดยเฉพาะจากแพ็คบอลของคู่แข่งอาจกดดัน ARPU ได้ แต่หาก TRUE บริหารจัดการด้านต้นทุน และใช้การตลาดแบบชาญฉลาดภายใต้ CEO คนใหม่ได้สำเร็จ กำไรอาจกลับมาดีเกินคาดในระยะถัดไป
Residential Property
การเปิดตัวเพิ่มขึ้นจากฐานต่ำ
AREA รายงานการเปิดตัวโครงการใหม่ใน พ.ค. 2025 เพิ่มขึ้น +176% MoM เป็น 1,901 ยูนิต มูลค่ารวม 3.1 หมื่นลบ. โดยฟื้นตัวทุกประเภทหลังแผ่นดินไหวเดือนก่อน คอนโดเริ่มกลับมาเปิด (374 ยูนิตจาก 0 ใน เม.ย.) แต่ยังเน้นกลุ่ม low-end เป็นหลัก ยอดขายเฉลี่ย (Take-up rate) ยังต่ำที่ 11% แม้คอนโดเริ่มดีขึ้นเป็น 24% ส่วนบ้านเดี่ยวยังอ่อนที่ 7% และทาวน์เฮาส์แผ่วลงเหลือ 9%
ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยยังเจอ Perfect Storm จาก 1) อุปทานล้นตลาด 2) ความต้องการซื้ออ่อนแอ 3) เงื่อนไขสินเชื่อเข้มขึ้น และ 4) ความเชื่อมั่นหลังแผ่นดินไหว โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดที่โดนแรงสุด ผู้ประกอบการยังเดินหน้าจัดโปรโมชันแรงในกลุ่ม mid-low และมีแนวโน้มลดราคาต่อเนื่อง กดดัน GM
Fundamental view: แม้จำนวนโครงการใหม่จะฟื้นตัว MoM แต่เรายัง คงคำแนะนำเลี่ยงกลุ่มอสังหาฯ เนื่องจาก 2Q25 ยังเป็นช่วง Low season และความกังวลต่อคอนโดจากแผ่นดินไหวยังไม่คลี่คลาย ขณะที่การแข่งขันราคาจะยังรุนแรงต่อเนื่องในช่วง 3–6 เดือนข้างหน้า
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน