สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 17 มิถุนายน 2568 )-----InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX ออกบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2568คาดตลาดแกว่งตัวผันผวนทางลง มีแนวรับที่ 1100–1094 การลงทดสอบมีโอกาสรีบาวด์ได้ ส่วนการขึ้นมีแนวต้านที่ 1120/1125 ทรัมป์กล่าวในโพสต์บน Truth Social ว่า “ทุกคนควรอพยพออกจากเตหะรานทันที” อาจจะเป็นความเสี่ยงอีกครั้ง ในขณะที่ประเด็น AOT ติดตามการประชุมกับคิงเพาเวอร์ในการประชุมวันนี้

ประเด็นสำคัญ
• บ่ายวันนี้ติดตามบอร์ด AOT นัดคิงเพาเวอร์ถกยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี พร้อมตั้งคณะทำงานเร่งศึกษากรณีแก้ไขสัญญาฯ คาดได้ข้อสรุปภายในเดือน ส.ค.นี้ เน้นรักษาผลประโยชน์นักลงทุน ย้ำฐานะการเงินแข็งแรง เรามองยังเป็นประเด็น Overhang กดดันราคาหุ้น
• วันพุธนี้บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกฯ เป็นประธานจะมีการพิจารณาแผนงานและคำของบประมาณภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนลบ. ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ เพื่อเร่งเบิกจ่ายให้ทันสิ้นปีงบประมาณ 2568
• ตลท. ประกาศ หุ้นเข้าคำนวณดัชนี ฯ ช่วงครึ่งหลังปี68 เปิดชื่อ 4 หุ้นใหม่ เข้า SET50 “BCP–KKP–TCAP–TIDLOR” และSET100 อีก 6 หุ้นใหม่ ”AURA-JTS-MBK-TFG-TOA-WHAUP”
• ทรัมป์กล่าวในโพสต์บน Truth Socialว่า “ทุกคนควรอพยพออกจากเตหะรานทันที” ส่งผลให้หุ้นสหรัฐซื้อ-ขายล่วงหน้าปรับตัวลดลง และราคาน้ำมันดิบกลับมาเพิ่มขึ้นต่อ ติดตามว่าจะเป็นสัญญาณชี้นำของสงครามรอบใหม่หรือเพียงเพื่อให้อิหร่านตอบรับสัญญานิวเคลียร์
• กบน. มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 68 เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ปรับเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรง
• จีนเผยยอดค้าปลีก พ.ค. ปรับขึ้น 6.4%YoY ดีกว่า เม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 5.1% และดีกว่าตลาดคาด โดยได้ปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งมาจาก พ.ค. มีวันหยุดสองวัน แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรม พ.ค. ขยายตัว 5.8%YoY ชะลอตัวลงจาก เม.ย. ที่ขยายตัว 6.1% ต่ำกว่าตลาดคาด

กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวน อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าเพิ่มเติม (ญี่ปุ่น อินเดีย) หลังมีข้อสรุปเบื้องต้นกับจีนแล้ว รวมถึงการแจ้งอัตราภาษีแบบฝ่ายเดียวกับประเทศอื่นๆ ใน 1-2 สัปดาห์นี้ ขณะที่ปัจจัยภายในยังติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง (การปรับ ครม.) และการออกมาตรการกระตุ้น ศก. (เที่ยวไทยคนละครึ่ง และโครงการกระตุ้น ศก. 1.57 แสนลบ.) อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่า ช่วงต้น เม.ย. SET ได้ปรับลงสะท้อนวิกฤติจากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไปแล้ว (มอง SET ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้วที่ Downside 1,032 จุด) และยังคงมุมมองว่าหากดัชนีปรับตัวลงมาบริเวณ 1100 ยังเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว กลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”

แนวรับ-ต้าน
1100/1094– 1120/1125

ล็อคเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET ผันผวน รอติดตามความชัดเจนจากหลายปัจจัย อาทิ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง, ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าเพิ่มเติม, อัตราภาษีฝ่ายเดียวจากสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองไทย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีม หลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ แนะนำ ADVANC TRUE CPALL BTG CPF
2. หุ้น SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป พร้อมคาดให้ Div. Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป แนะนำ PTT KTB BBL HMPRO
3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC BDMS CPALL PTT BCH BTG AP
4. หุ้นตั้งรับที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลัก สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการรอดูความชัดเจนของการดำเนินมาตรการภาษีของ ปธน. ทรัมป์ แนะนำ BCH CPALL GULF MTC OR TRUE
5. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังเกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แนะนำ PTT PTTEP BCP 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์หากรัฐออกมาตรการะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แนะนำ SCC SCCC STECON CK และ 3) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่ม REITs (DIF), กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF GPSC)

Daily top picks
TRUE: มองราคาหุ้นมี Downside จำกัด และมีปัจจัยกระตุ้นจากการประมูลคลื่นความถี่ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะช่วยให้ราคาเป้าหมายมี Upside เพิ่มขึ้นได้อีก 0.8 บาท/หุ้น จากการประหยัดต้นทุนได้หลังประมูล ขณะที่กำไรปกติ 2Q68 คาดเพิ่มขึ้น 101.7% YoY จาก ARPU ที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจ FBB และ Synergy ด้านต้นทุน

KTB: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น มีโอกาสมีแรงซื้อเข้ามาตามภาพของตลาด เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคาร มี Upside จากการเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลเพิ่ม และ Credit Cost สูงสุดใน1Q68 แล้วมีโอกาสลดลงในช่วงที่เหลือของปี ในขณะที่ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และมี LLR Coverage สูง