Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

122

 

ศึกใน ศึกนอก ยังคอยเซาะกร่อน SET INDEX
TOP PICK BCP / PTT / MTC


EXTERNAL FACTOR
• ศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกผันผวนหนัก โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ ร่วงลงราว -1.1% ถึง-1.9% ด้วยแรงกดดันหลักๆ จากความตึงเครีดยตะวันออกกลาง ซึ่งมีท่าทีรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นราว 4 BPS. ขยับขึ้นสู่ 4.4%ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ถือเป็นปัจจัยผลักให้เงินเฟ้อในระยะถัดไปได้
• ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผลกระทบจากสงคราการค้า มองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อเช่นกัน ทำให้การเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ดูยากลำบากมากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอตัวจากปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่ลดลงและอาจนำไปสู่ภาวะ STAGFLATION

INTERNAL FACTOR
• 3 ประเทศไทยเกินดุลการค้ากับไทย 1.กัมพูชา 8028 ล้านเหรียญฯ 2.อิสราเอล 344ล้านเหรียญฯ 3.อิหร่าน 61 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ และอาจกดดันให้เงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ กนง.ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น ส่งผลให้ BONDYIELD มีโอกาสดีดตัวขึ้นในระยะถัดไป
• การเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงในหลายประเด็น กดดันให้ FLOW ต่างชาติ-สถาบันขายสุทธิกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และ 7.7 พันล้านบาท และกดดัน VOLUMEหายอย่างมีนัยฯ โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ระดับ 1110-1128 จุด


INVESTMENT STRATEGY
• สถิติตลอด 50 ปี เวลาเกิดสงครามแรงๆ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะลงเฉลี่ย 7.5 วัน -4.8% และใช้เวลาฟื้นกลับมาที่เดิม 16.5 วัน ส่วนตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยๆ แล้วจะลบน้อยกว่า ทำจุดต่ำสุดเฉลี่ยที่ -3.4%
• ส่วนกลุ่มหุ้นที่ต้องระมัดระวังเวลากังวลเรื่องสงคราม คือ หุ้นกลุ่มขนส่ง (ต้นทุนน้ำมันขึ้น, นักท่องเที่ยวลด), หุ้นท่องเที่ยว และหุ้น GLOBAL PLAY มักจะปรับตัวลงแรง ส่วนกลุ่มหุ้นที่ OUTPERFORM กว่าตลาดจะเป็นหุ้นDOMESTIC อาทิ ICT, HELTH, COMM, BANK อย่าง ADVANC, TRUE, BCP, PR9, CPALL, CRC, KTBและหุ้นอิงราคาน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP

 

นโยบายการเงินดูเดินหน้าลำบาก ท่ามกลางความกังวล STAGFLATION
ศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกผันผวนหนัก โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐฯ ร่วงลงราว -1.1% ถึง -1.9% ด้วยแรงกดดันหลักๆจากความตึงเครีดยตะวันออกกลาง ซึ่งมีท่าทีรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นราว 4BPS. ขยับขึ้นสู่ระดับ 4.4% หลังอิสราเอลมุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ทั้งโรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่ง และโรงงานก๊าซธรรมชาติในอิหร่าน นอกจากนี้อิสราเอลยังได้โจมตีศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ใน NATANZ และ ISFAHANขณะที่อิหร่านเตือนว่าอาจกระทบตลาดพลังงานโลก

 

เมื่อพิจารณาข้อมูลอดีตนับแต่ปี 2022 ในช่วงความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ก่อตัวทวีความรุนแรง ราคาน้ำมันดิบมักดีดตัวขึ้นในวันแรกเฉลี่ยราว +2.4% และหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ยังเห็นการพุ่งขึ้นเฉลี่ยราว +3.4% ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ถือเป็นปัจจัยผลักให้เงินเฟ้อในระยะถัดไปได้

 

ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผลกระทบจากสงคราการค้า (TRADE WAR) จากนโยบายการค้าสหรัฐฯ มองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อเช่นกัน ทำให้การเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ดูยากลำบากมากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอตัวจากปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่ลดลง และอาจนำไปสู่ภาวะ STAGFLATION

 

หลายประเด็น ยังมีความไม่แน่นอน กดดัน SET มีโอกาสผันผวนต่อ
ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอล อิหร่าน(รายละเอียดดังหัวข้อก่อนหน้า) บวกกับความไม่แน่นอนของไทย-กัมพูชาที่ล่าสุดหลังการประชุม JBC ไทย-กัมพูชาจัดทำหลักเขตแดนยาว 800 กิโลเมตร ลดความตึงเครียดชายแดน ขณะที่ระยะถัดไปไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือน ก.ย.68 อย่างไรก็ตามไทยผิดหวังกัมพูชา ไม่ร่วมมือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กลับผลักดันพื้นที่พิพาท 4 จุดเข้าสู่ ICJ และไม่ได้หารือเรื่องICJ หรือ แผนที่ 1:200,000 ในการประชุมครั้งนี้จึงทำให้ความขัดแย้งนี้ยังคงมีอยู่และสามารถปะทุได้ทุกเมื่อ และอาจกดดันเศรษฐกิจไทย(มูลค่า GDP)ในระยะถัดไปได้ผ่านดุลการค้าที่หดหายได้ เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศไทยเกินดุลกาค้าทั้งสิ้น 1.ไทยเกินดุลกัมพูชา 8028 ล้านเหรียญฯ 2.ไทยเกินดุลอิสราเอล 344 ล้านเหรียญฯ 3.ไทยเกินดุลอิหร่าน 61ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ และประเด็นดังกล่าวอาจกดดันให้เงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ กนง.ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น ส่งผลให้ BOND YIELD มีโอกาสดีดตัวขึ้นในระยะถัดไป

 


ขณะที่อีก 1 ประเด็นกดดัน คือ การเมืองในประเทศ ทั้งกระแสการปรับ ครม. ของพรรคร่วมรัฐบาลในเดือน มิ.ย. 68 ที่มีโอกาสเห็นพรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งทำให้ฝ่ายค้านมีคะแนนเสียงกือบถึงกึ่งหนึ่งของสภาฯ(คาดการณ์ 160กว่าๆ + 69 เสียง) และประเด็นคดีความชั้น 14 ของคุณทักษิณ ที่ศาลฎีกาฯ นัดสอบพยานคดีชั้น 14 เพิ่ม 20 คน เริ่ม4 ก.ค.68 และขยายเวลา “อธิบดีกรมราชทัณฑ์” ส่งคำชี้แจงให้ศาลภายใน 20 มิ.ย.68ขณะที่ “ทักษิณ” ให้เวลาถึง 23มิ.ย.68 ก่อนมีคำวินิจฉัยในวันนั้น ซึ่งการเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง กดดันให้ FLOW ต่างชาติ-สถาบันขายสุทธิกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และ 7.7 พันล้านบาท ตามลำดับดังนั้นความไม่แน่นอนในหลายพื้นที่ ทั้งนอกและในประเทศ อาจทำให้เกิดความผันผวนระยะสั้นกับดัชนี SET INDEXและกดดัน VOLUME หายอย่างมีนัยฯ โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ระดับ 1110-1128จุด


หุ้นใดมักหลบสงคราม พ้น VS. ไม่พ้น
สถิติตลอด 50 ปี เวลาเกิดสงครามแรงๆ ตลาดหุ้นสหรัฐจะลงเฉลี่ย 7.5 วัน -5.8% และใช้เวลาฟื้นกลับมาที่เดิม 16.5วัน ส่วนตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยๆ แล้วจะลบน้อยกว่า ทำจุดต่ำสุดเฉลี่ยที่ -3.4%

นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ทำการวิเคราะห์ตลอด 50 ปี 18 สงคราม เวลาเกิดสงครามแรงๆ แต่ละ SECTOR เฉลี่ยลงลึกแค่ไหน? (ได้ผลลัพธ์ดังตารางทางด้านล่าง) โดยกลุ่มหุ้นที่ต้องระมัดระวังเวลากังวลเรื่องสงคราม คือ หุ้นกลุ่มขนส่งเฉลี่ยลงลึกสุดเมื่อเทียบกับ SECTOR อื่นๆ -8.7%(แรงกดดันจากความกังวลต้นทุนน้ำมันขึ้น, นักท่องเที่ยวลด), หุ้นท่องเที่ยว เฉลี่ย -4.6% และหุ้น GLOBAL PLAY อื่นๆ อาทิ ETRON, AGRI มักจะปรับตัวลงแรง ส่วนกลุ่มหุ้นที่OUTPERFORM กว่าตลาดจะเป็นหุ้น DOMESTIC อาทิ ICT, HELTH, COMM, BANK อย่าง ADVANC, TRUE,BCP, PR9, CPALL, CRC, KTB และหุ้นอิงราคาน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP

 

 

ความเสี่ยงไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมอย่างไร ?
ความเสี่ยงข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมอย่างไร มีรายละเอียด ดังนี้


กลุ่มเครื่องดื่ม : คาด CBG ได้รับผลกระทบด้านลบ เนื่องจากมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศหลัก มาจากประเทศกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายทั้งหมดนอกจากนี้ CBG ยังมีแผนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาในรูปแบบ JV ซึ่งตามแผนจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2569ส่วน OSP คาดได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากยอดขายในกัมพูชา คิดเป็นเพียง 1-2% ของยอดขายรวม


กลุ่มรพ. : คาดไม่กระทบ เนื่องจากคนไข้กัมพูชาที่เข้าใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ทำงานในไทย (EXPAT) ส่วนคนไข้กัมพูชาที่บินเข้ามารักษารพ.ที่ไทย เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และการรักษาพยาบาลยังเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่ฐานคนไข้กลุ่มนี้ชะลอลงติดกันแล้วหลายไตรมาสก่อนหน้าทำให้เทียบสัดส่วนต่อรายได้ปัจจุบันไม่ได้มีนัย ซึ่งคาดจะได้รับชดเชยจากการเข้ามาของคนไข้ชาติอื่นๆแทน ส่วนรพ.ที่อยู่ตามขอบชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้ลูกค้าชะลอเข้าใช้บริการบ้างเล็กน้อย สร้าง SENTIMENT เชิงลบต่อ BCH เนื่องจากมีรพ. 1 แห่งที่ อรัญประเทศฯ สำหรับ BDMS แม้มีรพ. 2 แห่งที่อยู่ในประเทศกัมพูชา แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยหรือทำงานในกัมพูชา จึงคาดไม่ได้กระทบอย่างมีนัย ทั้งนี้ 2 รพ.ดังกล่าวคิดเป็นรพ.เพียง 1% ของรายได้ธุรกิจรพ.ของ BDMS


กลุ่มโรงไฟฟ้า : ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา ไม่ได้มีการเข้าลงทุนในประเทศกัมพูชา มีเพียง BGRIM ที่มีโรงไฟฟ้า SOLAR 39MWE คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ COD ในปัจจุบัน จึงคาดจะไม่มีนัยฯ ต่อกำไรของ BGRIM

กลุ่มพลังงาน : OR มีธุรกิจในประเทศเวียดนามผ่านสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา 186 สถานี (จากทั้งหมด 2761สถานีในไทย + ต่างประเทศ) , ร้าน CAFE AMAZON 254 ร้านค้า (จากทั้งหมด 4898 ร้านค้า), และร้านสะดวกซื้อ 71 ร้านค้า (จากทั้งหมด 2421 ร้านค้า) โดยในปี 2567 มีส่วนแบ่ง EBITDA มาจากประเทศเวียดนามราว 1.2 พันล้านบาท หรือราว 7.0% ของ EBITDA รวมของ OR ปัจจุบัน OR ยืนยันการดำเนินงานเป็นไปตามปกติ และยังไม่ได้รับผลกระทบ จึงยังอยู่ในช่วงของการติดตามสถานการณ์ต่อไป


กลุ่ม ICT: คาดไม่กระทบ เพราะการให้บริการหลักอยู่ในไทย


กลุ่มค้าปลีก : คาดผลกระทบน้อย แม้มี CPALL, CPAXT และ BJC ที่มีการไปเปิดสาขาในกัมพูชา แต่ถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับสาขาทั้งหมด โดย ณ สิ้นปี 2567 CPALL มีสาขา 7-ELEVEN ทั้งหมด 15,367 สาขา ส่วนใหญ่99.2% เป็นสาขาในไทย ที่เหลือเป็นสาขาในกัมพูชา 112 สาขา และลาว 10 สาขา ส่วน CPAXT ส่วนธุรกิจค้าส่งมีสาขาทั้งหมด 175 แห่ง เป็นสาขาใน 165 แห่ง ในกัมพูชาเพียง 3 แห่ง BJC มีสาขา BIGC ทั้งหมด 2,030 สาขา ส่วนใหญ่ 98.7% เป็นสาขาในไทย (2,003 แห่ง) โดยเป็นสาขาในกัมพูชา 25 แห่ง


กลุ่มมีเดีย : ผลจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้กัมพูชาออกประกาศระงับการนำเข้าและฉายภาพยนตร์ไทยในโรงภาพยนตร์ทุกแห่งในกัมพูชา มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 12 มิ.ย 68 เป็นต้นไป ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบที่จะมีต่อ MAJOR ไม่มาก โดย MAJOR มีโรงภาพยนตร์ในกัมพูชา 33 โรง คิดเป็น 3.8% ของโรงภาพยนตร์ทั้งหมดที่MAJOR มี 863 โรง ในเชิงรายได้จากธุรกิจในกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วน 3% ของรายได้รวม MAJOR เท่านั้น โดยปกติโรงภาพยนตร์ในกัมพูชาจะมีสัดส่วนการฉายภาพยนตร์กัมพูชา : อินโดนีเซีย : ไทย : ฮอลิวูด อยู่ที่ 30 : 20 : 20 :20และเดือน มิ.ย-ก.ค MAJOR ก็ไม่มีการจัดผังภาพยนตร์ไทยในโปรแกรมฉายที่กัมพูชาอยู่แล้ว

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง ไปในประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญที่มีการค้าชายแดนกับไทย โดย SCCC มีบริษัทร่วมทุนในประเทศกัมพูชาคือ CHIPMONG INSEE CEMENT CORPORATION สัดส่วน 40% โดยมีส่วนแบ่งกำไรประมาณปีละ 200-250 ล้านบาท คิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมดของ SCCC ขณะที่ SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้ทั้งหมด


กลุ่มก่อสร้าง : แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในภาคก่อสร้างมีอยู่ประมาณ 1.6 แสนคน ถือเป็นกลุ่มแรงงานที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาทุกอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นแรงงานฝีมือระดับกลางและแรงงานทั่วไป บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของไทยอย่าง CK และ STECON ส่วนใหญ่จะมีการว่าจ้างแรงงานผ่านบริษัทรับเหมาช่วง (SUB CONTRACTOR) ซึ่งน่าจะมีกลุ่มแรงงานกัมพูชาอยู่ในนั้นด้วย หากขาดแรงงานกลุ่มนี้ก็จะกระทบต่อโครงการก่อสร้างทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน


กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : คาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากกลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อขาย และเพื่อเช่า รวมถึงผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม ไม่มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา และไม่มีการพัฒนาโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยกัมพูชา


กลุ่มเกษตรอาหาร : แม้ CPF มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา แต่เป็นฐานการผลิตเพื่อขายในประเทศกัมพูชาเป็นหลักและคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม จึงไม่กระทบอย่างมีนัยฯ ขณะที่บริษัทอื่น เช่น TU, ITC และGFPT ไม่มีการลงทุนในกัมพูชา จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

 



Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ไม่มีปัจจัยบวก By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ นอกจากสงครามการค้า ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดทั่วโลกในตอนนี้ นั่นคือ อิสราเอล-อิหร่าน ยังโจมตีตอบ...

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้