สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(8 มิถุนายน 2568)----------------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด หรือ NNEG ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
การประกาศคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ ว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะเริ่มปรับตัวลดลง หลังจากการขยายกำลังการผลิตจะเสร็จในอีกหกเดือนข้างหน้า ผู้ถือหุ้นของ NNEG ได้แสดงเจตนาในการรักษาสถานะทางการเงินในช่วงที่มีการลงทุนสูงและอัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับสูง ด้วยการงดจ่ายปันผลและมาตรการอื่นๆ โดย ความสามารถรองรับหนี้สินเพิ่มเติมโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิต ของ NNEG อยู่ในระดับต่ำ ในการรองรับการลงทุนที่สูง
อันดับเครดิตของ NNEG ยังได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้จากสัญญาระยะยาวกับทั้งภาครัฐ และผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม ฟิทช์คาดว่าความต้องการไฟฟ้าในพื้นที่จ่ายไฟของ NNEG จะได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของฐานผู้ใช้ไฟฟ้าใหม่ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งน่าจะช่วยชดเชยความต้องการที่ลดลงจากผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆในปัจจุบันที่อาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินที่เริ่มปรับตัวลดลง: ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 4.2 เท่าในปี 2568 จาก 4.5 เท่าในปี 2567 ซึ่งสูงกว่า 4.3 เท่าอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต การปรับลดอัตราส่วนหนี้สิน จะได้รับการสนับสนุนจากการปรับตัวลงของค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน หลังจาก NNEG ขยายกำลังการผลิตระยะที่สาม ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการขยายกำลังการผลิตหลักทั้งหมด เสร็จในอีกหกเดือนข้างหน้า
ความล่าช้าในการขยายกำลังการผลิต: วันเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของกำลังการผลิตระยะที่สาม ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติจำนวน 30 เมกะวัตต์และไอน้ำ 8 ตันต่อชั่วโมง ได้ถูกเลื่อนไปเป็นเดือน มกราคม 2569 จากสิ้นปี 2567 เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้น ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายในการลงทุนจะอยู่ที่ 789 ล้านบาทในปี 2568 จากการลงทุนต่อเนื่องในการขยายกำลังการผลิต NNEG มีความยืดหยุ่นในการจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน เนื่องจากบริษัทต้องจ่ายค่าก่อสร้างงวดสุดท้ายให้กับผู้ก่อสร้าง หลังจากโรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาจากระยะเวลาของการก่อหนี้และกระแสเงินสด ที่ไม่สอดคล้องกัน
ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนน่าจะลดลงเหลือในระดับประมาณ 50 ล้านบาทใน ต่อปี ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่สำหรับการสร้างโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ โดยฟิทช์คาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนในโปรเจ็คขนาดเล็กเช่นการทำแผงโซลาร์ลอยน้ำ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพของของโรงไฟฟ้าเดิม หากกำลังการผลิตที่มีการขยายเริ่มใช้เต็ม ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
กระแสเงินสดที่มั่นคง: ฟิทช์คาดว่าปริมาณการขายไฟฟ้าของ NNEG จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่สม่ำเสมอจากผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรม กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.02 พันล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากค่าไฟฟ้าต่อหน่วย (Tariff) ที่ค่อนข้างคงที่ในปี 2568 และราคาก๊าซที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่า EBITDA จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ในปี 2569-2570 จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในช่วง 1 ปีข้างหน้า โดยกำลังการผลิตใหม่จะรองรับความต้องการดังกล่าว นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงในอัตราที่ช้ากว่าต้นทุนเชื้อเพลิงในระยะกลาง เพื่อรักษาการทำกำไรของผู้ผลิตไฟฟ้า
สัญญาซื้อขายระยะยาว: กำไรของ NNEG ได้รับประโยชน์จาก สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) ภายใต้โครงการจัดซื้อไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กของไทย โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ในลักษณะ take or pay ภายใต้โครงการดังกล่าว เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าจำนวน 90 เมกะวัตต์ หรือประมาณร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัทฯ ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.;อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ’BBB+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ในขณะที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 179 เมกะวัตต์ ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมภายใต้สัญญาซื้อขายระยะยาว ซึ่งมีระยะเวลาสัญญาเหลือเฉลี่ยประมาณ 14 ปี
ความผันผวนของความต้องการไฟฟ้าที่ต่ำ: ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ของบริษัทกับ กฟผ.นั้น กฟผ.จะต้องรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตที่ได้ตกลงกันไว้ แม้ว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับลูกค้าอุตสาหกรรมจะไม่มีข้อกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำ แต่ความเสี่ยงดังกล่าวถูกลดทอนจากความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำที่อยู่ในระดับสูงในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ซึ่งมีการใช้ไฟฟ้ามากกว่า 400 เมกะวัตต์ และการกระจายตัวของลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรม
ความเสี่ยงด้านราคาในระดับปานกลาง: สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว กับ กฟผ. (50% ของกำลังการผลิตปัจจุบัน และ 43% หลังการขยายกำลังการผลิต) นั้น มีการส่งผ่านค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงและจากอัตราแลกเปลี่ยนของ NNEG ไปยังค่าไฟฟ้าได้ ในขณะที่การจำหน่ายไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมจะมีการคำนวณราคาขายแบบต้นทุนบวกกำไร อย่างไรก็ตามกำไรจากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นมีความเสี่ยงด้านราคาอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าจะใช้ราคาเชื้อเพลิงเข้ามาร่วมประกอบการพิจารณา แต่การปรับค่าไฟฟ้าแต่ละครั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งทำให้อาจส่งผลกระทบในระยะสั้นต่อกำไรของบริษัทฯ ถึงแม้ว่าการปรับค่าไฟฟ้าจะมีการถูกปรับให้อยู่ในระดับสมดุลในระยะ2-3ปี
ความเสี่ยงจากการมีโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว: NNEG มีโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว ซึ่งมีขนาดเล็กและไม่มีการกระจายตัวของรายได้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำหรับอันดับเครดิตของ NNEG รายได้และกระแสเงินสดของ NNEG อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญหากโรงไฟฟ้ามีการหยุดเดินเครื่องโดยไม่ได้วางแผนไว้ หรือประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าลดลง อย่างไรก็ตามสัญญาการว่าจ้างการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้ากับ กฟผ. และสัญญาบริการระยะยาวกับ Siemens AG (Siemens, A+/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และระบบป้องกันน้ำท่วมถาวร น่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินการดังกล่าว
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
ลักษณะรายได้และกระแสเงินสดของ NNEG มีความคล้ายคลึงกับ บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) (GPSC; ‘A+(tha)’/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ, อันดับเครดิตโดยลำพัง ‘a-(tha)’/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศไทย โดยบริษัททั้งสองมีรายได้ที่สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์ได้ จากความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่ต่ำเนื่องสัญญาซื้อขายระยะยาว อย่างไรก็ตาม NNEG มีความเสี่ยงด้านธุรกิจสูงกว่าจากกระจายตัวที่ต่ำกว่าของสินทรัพย์ และกระแสเงินสดจากการดำเนินการเมื่อเทียบกับ GPSC แต่เราคาดว่า GPSC จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูง ดังนั้นอันดับเครดิตของ NNEG จึงเท่ากับ อันดับเครดิตโดยลำพังของ GPSC
NNEG มีลักษณะกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในลักษณะใกล้เคียงกับ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS; ‘BBB(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยานภายในท่าอากาศยานหลักของประเทศ บริษัทท้ังสองจึงมีรายได้ที่สม่ำเสมอ และสามารถคาดการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ความสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ของกระแสเงินสดของ BAFS ได้รับผลกระทบจากการลงทุนขนาดใหญ่ในด้านท่อขนส่งน้ำมันและธุรกิจโรงไฟฟ้าหมุนเวียน ซึ่งได้ส่งผลให้สถานะทางการเงินของ BAF อ่อนแอลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ NNEG และถึงแม้ว่า NNEG จะมีขนาดธุรกิจเล็กกว่าและมีการกระจายตัวของรายได้ที่น้อยกว่า สถานะการเงินของ BAFS ที่อ่อนแอกว่าส่งผลให้ BAFS มีอันดับเครดิตต่ำกว่า NNEG
บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EPG; ‘A-(tha)’/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกของประเทศ โดย EPG มีการกระจายตัวของสินทรัพย์และมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า NNEG เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม NNEG สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า โดยได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้จากสัญญาระยะยาว และความต้องการของไฟฟ้าที่มีความผันผวนต่ำ อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตของ EPG นั้นเท่ากับ อันดับเครดิตของ NNEG เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินของ EPG อยู่ในระดับต่ำกว่า NNEG มาก
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ความต้องการไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพจาก กฟผ. และผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรม จากกำลังการผลิต ณ ปัจจุบัน ในปี 2568 โดยการขายไฟฟ้าและไอน้ำจะเพิ่มขึ้นในปี 2569 หลังจากการขยายกำลังการผลิต
- การปรับค่าไฟฟ้าเป็นไปตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนเชื้อเพลิง โดยการปรับลดค่าไฟฟ้าจะเป็นอัตราที่ช้าลงในปี 2568 ถึงปี 2571 ซึ่งสะท้อนถึงสมมติฐานของฟิทช์ที่ว่าค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะทำให้ กฟผ. ได้รับการชดเชยผลผลขาดทุนสะสมจากการขายไฟฟ้าในอดีตได้ ภายในต้นปี 2572
- ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนรวม 789 ล้านบาทในปี 2568 โดยส่วนใหญ่ใช้สำหรับการขยายกำลังการผลิต และลดลงเหลือ 47 ล้านบาทในปี 2569 และ 56 ล้านบาทในปี 2570
- จ่ายเงินปันผลที่ร้อยละ 80 ของกำไรสุทธิ จากปี 2569 เป็นต้นไป
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยลบ:
- EBITDA net leverage ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 4.3 เท่าอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยบวก:
- การปรับเพิ่มอันดับเครดิตไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดของธุรกิจที่มีขนาดเล็กและไม่มีการกระจายตัวของรายได้
สภาพคล่อง
ณ สิ้นปี 2567 NNEG มีหนี้สินรวมจำนวน 5.4 พันล้านบาท โดยหนี้จำนวน 535 ล้านบาทจะครบกำหนดชำระในปี 2568 สภาพคล่องของ NNEG ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1.05 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ และรองรับกระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะติดลบจำนวน 57 ล้านบาทในปี 2568
ข้อมูลของบริษัท
NNEG เป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบโคเจนเนอเรชั่นของบริษัทตั้งอยู่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร โดยลูกค้าหลักคือ กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจำนวน 179 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 40 ตันต่อชั่วโมง