สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(20 พฤษภาคม 2568)---------บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 137 จุด (+0.3%) การปรับลงของ Moody มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯมิได้มากนัก ขณะเดียวกันนักลงทุนกำลังให้น้ำหนักกับเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.2% ได้แรงหนุนจากเจรจาด้านนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านอาจสะดุดลง
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯมิได้มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยนักลงทุนพุ่งเป้าหมายไปที่เจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ ทำให้สินทรัพย์ต่างๆทรงตัวไม่ว่าจะเป็น ทองคำ (US Yield ลดลงเล็กน้อย) ส่วนการปรับลด Credit Rating ของสหรัฐฯไม่มีผลใดๆอย่างมีนัยยะกับสินทรัพย์ฝั่งสหรัฐฯ ด้านปัจจัยในประเทศเมื่อวานที่ผ่านมาสภาพัฒน์ได้ประกาศการขยายตัวเศรษฐกิจไทยประจำช่วง 1Q25 พบว่าขยายตัว 3.1%YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.9%YoY แรงหนุนหลักๆมาจากมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวได้ 15%YoY เป็นเพราะประเทศคู่ค้าที่เร่งนำเข้าสินค้าก่อนเผชิญกับภาษีนำเข้าประกอบกับการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวเด่นราว 26%YoY แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานต่ำในปีก่อน ด้านการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวแต่เริ่มขยายตัวชะลอลง (+2.6%YoY) จากไตรมาสก่อนขยายตัวได้ 3.4%YoY อย่างไรก็ตามการลงทุนภาคเอกชนหดตัว (-0.9%YoY) และหดตัวต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อ โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดก่อสร้าง (-3.8%YoY) จากการลงทุนก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย (-5.7%YoY) สอดคล้องกับพื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว แฟลต มองไปยังข้างหน้าสภาพัฒน์คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในปี 25 ในช่วง 1.3 – 2.3% (เฉลี่ย 1.8%YoY) แต่เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจค่อนข้างแผ่ว โดยประเมินการบริโภคขยายตัวเฉลี่ย 2.4%YoY มูลค่าส่งออกขยายตัว 1.8%YoY การลงทุนภาครัฐขยายตัวเด่นสุด (+5.5%YoY) แต่สวนทางกับการลงทุนเอกชน (-0.7%YoY) ในขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในแง่ของ % เป็นไปได้ว่า 1Q25 จะเป็นจุดสูงสุดของปีแล้วและหลังจากนี้จะค่อยๆลดลงเพราะส่งออกที่สูงไปแล้วประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงไปแล้วเช่นกัน ตลาดหุ้นก็มีความเสี่ยงเช่นกันที่จะค่อยๆปรับฐานหรือ Upside ด้านบนเริ่มจำกัด ส่วนการประชุมเศรษฐกิจของรัฐบาลวานนี้เบื้องต้นคือการแจกเงิน 1 หมื่นเฟสล่าสุดอาจเลื่อนออกไปก่อนและนำเม็ดเงินข้างต้นไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร นอกจากนี้ยังมีระบบคมนาคม รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ถนนต่างๆ รวมถึงการท่องเที่ยวว่าอะไรที่เป็นปัญหา
วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1170 -1200 จุด ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะลดพอร์ตการลงทุนเช่นเดิมเพราะยังมองไม่เป็นปัจจัยเชิงบวกทั้งพื้นฐานและกระแสเงินทุน แต่อย่างไรก็ตาม
ระยะสั้นนักลงทุนอาจเลือกเก็งกำไรในหุ้น Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) หุ้นที่ผลประกอบการ 1Q25 รายงานมาโดดเด่น (CPALL AMATA WHA OSP)
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 7.6 พันล้านบาท (+20%YoY, +6%QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด กำไรที่เติบโตแข็งแกร่งหนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.05% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks และ Synergy benefits ของ CPAXT
MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท)
แม้มองว่าเศรษฐกิจมีความท้าทายเพิ่มขึ้น เราคาดว่า MTC จะสามารถรักษาการเติบโตสูงต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลง 15%YTD ทำให้ Valuation มีความน่าสนใจซื้อขายที่ 12.9x PE’25E เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 20.4x เรามีมุมมองเป็นกลางหลังการเข้าประชุมนักวิเคราะห์วานนี้หลังจากที่บริษัทยังคงเป้าหมายการเงินปี 2025 อย่างไรก็ดี ความท้าทายทางเศรษฐกิจสูงขึ้น เรามองว่าการเติบโตจะชะลอตัว และเน้นการควบคุมคุณภาพสินเชื่อเพื่อควบคุมหนี้เสีย เราปรับลดสินเชื่อและ NIM อ่อนแอลง อย่างไรก็ดี คาดกำไรจะยังขยายตัวสูง 14%/16% ในปี 2025-26