สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(15 พฤษภาคม 2568)--------BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการประยุกต์ใช้ AI ระดับองค์กร (AI-Led Enterprise Digital Transformation) เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ใหญ่กว่า 72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 347 ล้านบาท ลดลง 6% (YoY) จากการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัทโดยการย้ายพนักงานส่วนหนึ่งไปเป็นพนักงานของบริษัทร่วมทุนโดยตรง แต่รายได้จากการดำเนินงานปกติยังเติบโต 3% YoY และการปรับโครงสร้างนี้ยังช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 46% เป็น 52% ซึ่งส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของบริษัทฯ

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2568 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นช่วงการเตรียมเข้าประมูลงานใหม่และผลของ Seasonal Effect ที่ปกติแล้วรายได้ช่วงปลายปีจะเติบโตมากกว่าไตรมาสอื่น จากการเร่งส่งมอบงานตามแผนใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของลูกค้า อย่างไรก็ดี บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 จะกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการทยอยส่งมอบงานที่เพิ่มขึ้นตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกอื่น ๆ ที่จะสนับสนุนให้การขยายตัวของบลูบิคเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งได้แก่ 1) ความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการ Virtual Bank 2) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดภาครัฐ และ 3) ผลการประมูลงานใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นในแบ็คล็อค (Backlog) นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ทั้งนี้ มูลค่างานแบ็คล็อค ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ของบริษัทฯ (รวมแบ็คล็อคของกิจการร่วมทุน) กลับมาเติบโตเพิ่มอยู่ที่ 1,063 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้มากกว่า 866 ล้านบาทในปีนี้ ประกอบด้วยรายได้จากบริษัทแม่และบริษัทย่อยจำนวน 683 ล้านบาท และจากกิจการร่วมทุนจำนวน 183 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2569 – 2572

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกเป็นไปตามที่บริษัทฯ ได้ประเมินไว้ โดยปกติแล้วไตรมาสแรกเป็นช่วงเวลาการเตรียม เข้าประมูลงานใหม่ รวมถึงปรับแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปีนี้ที่ภาคธุรกิจทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นว่าแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมยังคงเป็นพันธกิจสำคัญที่องค์กรธุรกิจต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ธุรกิจธนาคาร การเงิน ค้าปลีก ประกันภัย และสุขภาพ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และกระแสการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ในอนาคต

“ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจส่งผลให้องค์กรบางแห่งชะลอหรือเข้มงวดกับการลงทุนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ บลูบิค จึงมีการปรับแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์การให้บริการ โดยให้ความสำคัญกับการปรับกลยุทธ์ของทีมงานฝ่ายขายและบริการที่มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมสำหรับองค์กรลูกค้าให้สามารถสร้างโอกาสธุรกิจและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและบริบทต่าง ๆ ของโลก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารงานภายในองค์กรด้วย” นายพชร กล่าว

โดยแผนงานและกลยุทธ์ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้

1) การปรับกลยุทธ์การให้บริการและทีมงานขาย เพื่อรุกตลาดใหม่และขยายการให้บริการเพิ่มเติมในกลุ่มลูกค้าเดิม

• การยกระดับการดำเนินงานของฝ่ายขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าภาครัฐที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากภาครัฐมากกว่า 8% ปีนี้ จากเดิม 5% ในปีที่ผ่านมา พร้อมขยายการให้บริการเพิ่มเติมในกลุ่มลูกค้าเดิม ด้วยการนำเสนอบริการที่ออกแบบสำหรับลูกค้าเฉพาะราย

• ชูจุดแข็งการให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่มุมกลยุทธ์ธุรกิจจนถึง ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นการให้บริการแบบ AI-Led Enterprise Digital Transformation ระดับองค์กร ซึ่งเป็นบริการที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการทรานส์ฟอร์มธุรกิจแบบครบวงจร ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรับมือกับกระแสการทำธุรกิจแห่งอนาคตที่มี AI เป็นกลไกหลัก ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมทั้งด้านกลยุทธ์เทคโนโลยีและธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที การพัฒนาแอปพลิเคชันและโมเดล AI ขั้นสูง รวมถึงบุคลากร

2)   การยกระดับการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

• การปรับแผนการจัดการด้านบุคลากรด้านไอทีอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลระหว่างจำนวนพนักงานผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและความต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในระยะยาว ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

• การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานระหว่างบริษัทแม่และบริษัทในเครือ ผ่านการปรับโครงสร้างของหน่วยธุรกิจ (Business Units) รวมถึงการเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบุคคล (Utilization Rate) ของบริษัทในเครือ

• การดำเนินแผนการยกระดับทักษะ (Upskill) และการพัฒนาทักษะใหม่ (Reskill) ให้แก่พนักงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายการจัดจ้างผู้ให้บริการภายนอก (Outsource Vendors)

ในส่วนของแผนการขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถในการรับงานขนาดใหญ่และการให้บริการที่หลากหลายขึ้น ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านการจับมือกับพันธมิตรธุรกิจที่มีเครือข่ายในหลายประเทศทั่วโลก และกำลังเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Stock Exchange of Thailand – SET) ช่วงกลางปีนี้

“การเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 11 ปี ถือเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปีนี้ได้เหมือนที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทฯ ยังคงความมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและ AI-Led Enterprise Digital Transformation แบบครบวงจร เพื่อรองรับกระแสความต้องการด้านเทคโนโลยีซึ่งสุดท้ายแล้วจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกธุรกิจกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ซึ่งมีเทคโนโลยี AI เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน” นายพชร กล่าว