ภาวะตลาด : SET Index เมื่อวานนี้ผันผวน โดยดัชนีขึ้นไปสูงสุด 1231.02 (+20.08 จุด) ในช่วงแรก ตอบรับสหรัฐและจีนลดภาษีนำเข้าระหว่างกัน 115% เป็น 10-30% เป็นระยะเวลา 90 วัน แต่ในช่วงบ่ายมีแรงขาย ทำให้ดัชนีลงไปต่ำสุดที่ 1212.19 (+1.25 จุด) แล้วปิดตลาดระดับ 1214.39 (+3.45 จุด) ส่วนหนึ่งมาจากกังวลการเมืองในประเทศหลังมีกระแสข่าวยุบสภา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ -2.4 พันลบ. สถาบันในปท.ซื้อสุทธิ +729 ลบ.
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : เงินเฟ้อทั่วไปเดือนเม.ย.ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด โดยออกมา 2.3% ตลาดคาด 2.4% และลดจากมี.ค.ที่ 2.4% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับ 2.8% สอดคล้องกับตลาดคาด และเท่ากับเดือนมี.ค.ที่ 2.8% ติดตามดัชนี PPI & ยอดค้าปลีก 15 พ.ค. และดัชนีค.เชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ค.วันที่ 16 พ.ค.
+ จีนยกเลิกคำสั่งห้ามสายการบินรับมอบเครื่องบินโบอิ้ง หลังผลการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐออกมาดี
-/+ ตลาดหุ้นสหรัฐ Mixed ดัชนีดาวโจนส์ร่วงจากการดิ่งของหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ หลังระงับการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ปี 25 และการลาออกกระทันหันของ CEO แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับขึ้นจากแรงซื้อหุ้นเทคโนโลยี
+ ราคาน้ำมัน WTI & BRENT ปรับขึ้นต่อ เป็น 64-67 US$/bbl ตอบรับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนชั่วคราว ด้านสัญญาทองคำ COMEX ดีดขึ้น
+19.8 ดอลลาร์ เป็น 3247.80 US$/ออนซ์ ส่วน US Bond Yield 10 ปีปรับขึ้นเป็น 4.48% ดัชนีค่าเงิน US$ อ่อนลงเป็น 100.89 เงินบาทแข็งขึ้นสู่ 33.29 บาท/ดอลลาร์ ดัชนีราคาถ่านหิน (NC) ขยับขึ้นเป็น 99.9 (สูงสุด 149) ดัชนี Baltic Dry Index ถอยลงสู่ 1280 (สูงสุดอยู่ที่ 1669)
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
• รมว.ท่องเที่ยวระบุว่าโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” จะเข้าพิจารณาในครม.ปลายพ.ค.หรือต้นมิ.ย.นี้ โดยจะใช้ในเดือนก.ค.-ก.ย.25 ที่เป็น low season
• นายกฯระบุว่าไทยยื่นข้อเสนอเพื่อต่อรองภาษีนำเข้ากับสหรัฐไปเมื่อสัปดาห์ก่อน รอการตอบกลับจากก.คลังสหรัฐและ USTR…จากปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน เราคาดว่าอัตราภาษีฯจะลดลงจากที่รัฐบาลสหรัฐประกาศอย่างมีนัยสำคัญ
- สถานการณ์การเมืองไทยไม่แน่นอน ทำให้กังวลว่าศก.ไทยจะยังเติบโตน้อยกว่าภูมิภาคต่อเนื่อง แม้ว่าแรงกดดันภาษีศุลกากรจากสหรัฐผ่อนคลายลง
+ CPALL : มีมติซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 150 ล้ำนหุ้น วงเงินไม่เกิน 7.5 พันลบ. ระยะเวลาซื้อคืน 16 พ.ค.-14 พ.ย.25...เป็น Sentiment บวกกับราคาหุ้น
+ หุ้นที่คาดว่ากองทุน TESGX จะให้ความสนใจ ได้แก่ ADVANC (SET ESG Ratings: AAA), BEM (AAA), CPALL (AAA), CPN (AAA), GULF (AAA), KTB (AAA), KBANK (AAA), PTT (AAA), SCC (AAA), AOT (A), DELTA (A), BDMS (A) เป็นต้น
กลุยทธ์ :
กลยุทธ์หลักเป็นการเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ Valuation ไม่แพง และหุ้น Big Cap ที่กองทุน TESGX ให้ความสนใจ ซึ่งหุ้น Top Picks ของเดือนพ.ค.เป็น ADVANC, BDMS, BJC, CPALL และ KTB ส่วนกำรเก็งกำไรรอบสั้น ดัชนีได้ทดสอบแนวต้าน 1230 แล้วถอยลง แนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1210, 1205-1200, 1195 (การหลุด 1195 ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม) การปรับขึ้นต่อ มีแนวต้าน 1230-1240, 1265-1270
หุ้นพื้นฐานแนะนำ :
CPALL – กำไรสุทธิ 1Q25 ดีกว่าคาด โดย +20%YoY, +6%QoQ เป็น 7.59 พันล้านบาท นำโดยธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่มียอดขายโตแกร่ง มาร์จิ้นดีขึ้น รวมถึงค่าไฟฟ้าลดลง แนวโน้มไปได้ดี คาดว่าบริษัทจะได้อานิสงค์จากโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” ที่รัฐบาลจะออกมาใช้ในช่วง low season ของการท่องเที่ยวในประเทศปีนี้ด้วย นอกจากนั้นบอร์ดอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น วงเงินไม่เกิน 7.5 พันลบ. คงคำแนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 69 บาท
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829