สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(8 พฤษภาคม 2568)-----------ACG รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.85 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 7.10 ล้านบาท

บริษัท ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ (“ACG”) รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 โดย ACG และบริษัทย่อย (“กลุ่ม ACG”) มีรายได้รวมจำนวน 387.50 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 435.91 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากส่วนงานจำหน่ายรถยนต์และอุปกรณ์ตกแต่งที่มีรายได้ลดลง 58.45 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.12 อย่างไรก็ตาม ส่วนงานบริการและจำหน่ายอะไหล่มีรายได้เพิ่มขึ้น 11.56 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.26 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 368.10 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.97 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนขายที่ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของรายได้จากการขาย จะเห็นได้ว่า กลุ่ม ACG มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.72
ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยแห่งแรกที่ประกอบกิจการโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการรถยนต์ มีรายได้รวมสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เท่ากับ 339.00 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.71 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1ปี 2567 ซึ่งมาจากปริมาณการขายรถยนต์ที่ลดลงร้อยละ 17.74 รวมทั้งปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของสถาบันการเงิน ส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์รวมในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของงานบริการซ่อมบำรุงและจำหน่ายอะไหล่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.96 โดยสรุปบริษัทย่อยแห่งแรกมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.49 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับบริษัทย่อยแห่งที่ 2 ศูนย์บริการรถยนต์ประเภทเร่งด่วน (FAST FIT) มีรายได้รวม 51.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.49 เนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่เข้ารับบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.80 และรายได้ต่อคันของรถเข้ารับบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.92 สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลของกลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้ต่อคันและการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทย่อยแห่งที่ 2 มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.74 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น