Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

163

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม


แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
Health Tech ยุค AI: จาก Mass สู่ ตรงคน ตรงจุด ตรงยีน
Highlights:

โลกการแพทย์กำลังก้าวสู่ Precision Health ที่รักษาแบบ “ตรงจุด ตรงคน ตรงยีน” แทนการรักษาแบบเดียวกันสำหรับทุกคน โดยใช้ AI, Genomics, Wearables และ Big Data เป็นหัวใจหลัก ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดต้นทุน และเร่งการตัดสินใจเชิงคลินิก

Tempus AI คือหนึ่งในผู้เปลี่ยนเกมที่จับต้องได้จริง ด้วยแพลตฟอร์ม AI ที่เชื่อมโยงข้อมูลจีโนม ภาพทางการแพทย์ และเวชระเบียนของผู้ป่วยกว่า 7 ล้านราย เพื่อวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะโรคซับซ้อนอย่างมะเร็งและโรคระบบประสาท ปัจจุบันทำงานร่วมกับโรงพยาบาลกว่า 2,700 แห่งในสหรัฐฯ และบริษัทยาระดับโลก

AI ยังช่วยค้นหาต้นเหตุของโรคได้ลึกถึงระดับยีน เช่น GRAIL ที่ตรวจมะเร็งกว่า 50 ชนิดจากเลือด และ Deep Genomics ที่ออกแบบยาแบบแม่นยำจากความผิดปกติของ RNA เปลี่ยนแนวทางรักษาจากปลายเหตุเป็นการจัดการที่ต้นตอจริง...เรื่องจริงผ่านจอ Jack ผู้ชายวัยกลางคนสุขภาพดี ไม่มีอาการ แต่ตรวจ Galleri พบสัญญาณมะเร็งที่ต่อมทอนซิลล่วงหน้าหลายเดือนก่อนแสดงอาการจริง นำไปสู่การรักษาได้ทันเวลาและเข้าสู่ภาวะสงบของโรค สะท้อนศักยภาพของ AI และ Genomics ในการป้องกันก่อนรักษา และเป็นโอกาสสำคัญของกลุ่ม Health Tech ที่เน้นการวินิจฉัยเชิงรุก

แม้ภาค AI Health Tech ยังอยู่ในช่วง Early Adopter ของ S-Curve แต่มีสัญญาณชัดเจนของการใช้งานจริง เช่น ความร่วมมือเชิงลึกกับบริษัทยาชั้นนำ และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับมากขึ้น โดย FDA ได้เปิด Fast-track ให้แก่เทคโนโลยี AI ด้านสุขภาพ

แนะนำ Global X HealthTech ETF (HEAL)
(ข้อมูลเพิ่มเติมในรายงานฉบับเต็มคลิกที่นี่)

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET บวกตามตลาดโลก หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไอซีที ขนส่ง ธนาคาร นำขึ้น และหุ้นกลาง-เล็กหลายตัวบวกแรง PSG ZIGA CFARM BTC เป็นตัน ส่วนฝั่งลบกดดันตลาด BBL (ขึ้น XD) CPALL CPAXT CBG BCP KKP เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
เคาะไม้แรกติดใจ เคาะไม้ต่อไประวังโดนเท
หุ้นไทยยังก้าวไม่พ้นขวากหนาม เราพบแรงกดในหุ้นรายตัว ทำให้ราคาหุ้นยังไม่พ้นน้ำ หากนับจากวันที่ราคาหุ้นดิ่งลงตามตลาด เพราะ วิตกภาษีตอบโต้ฯ แม้แต่หุ้น Defensive ก็เล่นไม่ขึ้น ทรงหุ้นที่โดนกด เช่น โรงแรม, รพ, ค้าปลีก ส่วนหุ้นที่บวกพ้นน้ำขึ้นมาแล้ว เช่น ปิโตรฯ โรงกลั่น นิคมฯ สุดท้ายก็โดนกดเล่นไม่ออก
แต่หุ้นที่เราเลือกซื้อเล่นรอบ (เก็งกำไร) เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, สินเชื่อบุคคล ราคาหุ้น Outperform ตลาด “พอได้อยู่”

กลายเป็นภาวะตลาดหุ้นที่ถูกบีบให้เลือกเล่นแต่หุ้นผู้นำตลาดที่ มูลค่าตลาดใหญ่ พอจะมีวอลุ่มให้ เข้าๆ-ออกๆ ได้ เช่น DELTA AOT KBANK KTB ส่วนหุ้นซิ่งบวกดีกว่าตลาด ส่วนใหญ่วอลุ่มก็บางเฉียบ เช่น PSL MOSHI
ดังนั้นกลยุทธ์เรายังคงเลือกเล่นหุ้นเน้นเป็นรายตัวรายกลุ่ม ตามที่เรานำเสนอ โดยไม่แนะนำให้หว่านเงินซื้อหุ้นแบบกระจายตัว เพราะดูจากบรรยากาศลงทุนตามที่เราร่ายเรียงมาตามย่อหน้าข้างต้น จะเห็นว่ากลยุทธ์การไล่ราคายังเป็นสิ่งต้องห้ามในช่วงนี้
ขณะที่สถานการณ์ลงทุนทั่วโลกยังดูทรงๆ (ประเด็น บวก/ลบ ยังเดิมๆ)
1) IMF คาดการณ์เศรษฐกิจโลกล่าสุด ไม่ถดถอย คาดปีนี้ปีหน้ายังขยายตัวได้ 2.8-3% จากเดิมคาด 3.3% ตลอด 2 ปี ข้างหน้า ส่วนอเมริกาคาด +1.8% จากเดิมคาด 2.7%,
2) ปธน.ทรัมป์ ให้สัมภาษ ณ์ “ภาษีตอบโต้ จีน มีแนวโน้มไม่สูงถึง 145% แต่จะไม่เหลือศูนย์ ขึ้นอยู่กับการเจรจาซึ่งน่าจะมีแนวโน้มที่ดี”

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำเล่นหุ้นแบบ Buy the dips
1) กลุ่มเล่นรีบาวด์สั้น เช่น อิเล็อกทรอนิกส์ CCET DELTA HANA KCE
2) การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ชดเชยผลกระทบ GDP จากการส่งออก STECON CK การซ่อมบ้าน และคอนโด (HMPRO และหุ้นค้าปลีกที่เชื่อมโยง เช่น CBG OSP CPALL CPAXT)
3) เล่นเก็งกำไรการลดดอกเบี้ย MTC TIDLOR
4)กลุ่มหลัก ที่ใช้สะสมแบบ DCA เน้นเลือกที่แนวโน้มกำไรยังแกร่ง (จากผลกระทบสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก) และเป็นหุ้น Defensive ได้แก่ ค้าปลีก โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และไอซีที

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ปิดสวย ทะลุต้าน 1,150 จุด (EMA 25 วัน & Fibo 23.6%) สำเร็จ! ส่งผลให้แนวโน้มระยะสั้นส่งสัญญาณกลับตัวเปลี่ยนเป็นขึ้น สถานีถัดไป 1,200-1,230 จุด (EMA 50 วัน & Fibo 38.2%) คิดเป็นการฟื้นตัว 1/3ของระยะทางที่ปรับลง ส่วนแนวรับดูที่ 1,120 จุด แนวสร้างฐานใหม่ consolidate zone สรุป:แนวโน้มตลาดกำลังไปได้สวย อยู่ในฟอร์ม recovery!.....ตามแผน
ไฮไลท์: กลุ่มเกษตรส่งออกเนื้อหมู (CPF TFG BTG)....โดดเด่น ลุ้นไปต่อ! + ธีมหน้าร้อน...มาช้า แต่ร้อนแน่! จะมีหุ้นอะไรบ้าง ติดตามในหน้าถัดไปครับ

 

 

What to watch
นายกสั่งการทบทวนมาตรการ ฟรีวีซ่า เพื่อปรับเปลี่ยนมาตรการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ...
โตโยต้าลงทุน 2000 ล้านเหรียญในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มุ่งเน้นผลิตรถยนต์หรูแบรนด์ LEXUS ของโตโยต้า (การเข้ามาของ EV จีนในประเทศไทยรอบนี้ มีแนวโน้มเปลี่ยนอุตสาหกรรมการเงิน และ ยานยนต์ไทย ไปอย่างสิ้นเชิง แนะนำ ขาย KKP)
ประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการลดหรือคงดอกเบี้ย ก่อนการประชุม กนง. วันที่ 30 เม.ย.
ติดตาม กสทช. เคาะแนวทางประมูลคลื่นมือถือรอบใหม่
ติดตามงบการเงินกลุ่มธนาคาร

หุ้นแนะนำวันนี้
MTC แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรก คาดกลับมาเติบโตแรง y-y และบวก q-q เล่นรับเทรนด์ผลตอบแทนพันธบัตร และดอกเบี้ย ในประเทศขาลง
แนวรับ 43 ต้าน 45 Stop loss 42

Tactical port
ถอด GFPT HMPRO เพิ่ม GULF

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Thai Market Strategy
ประเมินกำไรหุ้นไทย กรณีเลวร้าย ... กลุ่มไหน Risk/Reward คุ้มค่า น่าลงทุน?
รายงานวันนี้จะเน้นการประเมินกำไรของ SET จากปัจจัย Trade war โดยเรามองผลกระทบของ Trade war จะขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลาการเจรจา” และ “อัตราภาษีที่เก็บจริง” และเราประเมินจากทั้งแนวคิดแบบ Top-down และ Bottom-up ประกอบกัน
จากการศึกษาการปรับประมาณการกำไร (Earnings revision) ในช่วงปี 2018-19 พบว่ามีการปรับลด กำไรลงถึง 27% เทียบปัจจุบันปรับลงไปแล้วเพียง 12% บวกกับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเมินว่ากำไรมีโอกาสที่จะถูกปรับลงต่อ (ตามมุมมอง Top-down) ซึ่งสอดคล้องกับประมานการณ์กำไรของนักวิเคราะห์ของเราปรับลงไปต่ำกว่าตลาดแล้ว 12% (การประเมินแบบ Bottom-up) ทำให้เราประเมินกำไร/เป้าหมายดัชนีใหม่ ดังนี้
(0) Base-case (โอกาสเกิด 50%): อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 20% ใน 2H25 (เทียบ 10% ปัจจุบัน), มอง GDP ไทยเติบโต 1.4%, กำไรต่อหุ้น EPS ของ SET คาดเหลือเพียง 82 (จากเดิม 90 และต่ำกว่าที่ตลาดทำที่ 93), เติบโตจากปีก่อน 7%, SET index target ปลายปี 2025 อยู่ที่ 1280 (อิง PER 15.7x, -0.5SD)
(-) Bear-case (โอกาสเกิด 25%): อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 36% เท่าที่ประกาศใน 2H25, มอง GDP ไทยโต 0.9%, EPS ของ SET คาดเหลือเพียง 73, หดตัวจากปีก่อน -5%, SET index target ปลายปี 2025 อยู่ที่ 1030 (อิง PER 14.2x, -1.0SD)
(+) Best-case (โอกาสเกิด 25%): อัตราภาษีเก็บจริงอยู่ที่ 10% ใน 2H25, มอง GDP ไทยเติบโต 1.6%, EPS ของ SET คาดที่ 87, เติบโตจากปีก่อน 13%, SET index target ปลายปี 2025 อยู่ที่ 1360
Strategist view: ถึงแม้ประเมินว่ากำไรของ SET กรณีเลวร้าย มี downside จากที่ตลาด (ที่ยังไม่ปรับลง) ทำถึง 21% แต่ประเมินว่า SET ปรับตัวลงมาสะท้อนไปมากแล้ว แม้ใช้กำไร SET กรณีเลวร้าย ยังได้ downside บริเวณ 1030 มองว่า downside จำกัดแล้ว จึง มองตลาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
แต่ระยะสั้น ตลาดยังผันผวนจากความไม่แน่นอนทั้ง Trade war ทั้งเศรษฐกิจโลก แต่หากดัชนีปรับฐานลงมา มองเป็นจังหวะสะสม แต่ยังเน้นกลุ่มที่ Risk/Reward คุ้มค่า Domestic&Defensive
เราได้ค้นหาหุ้น Risk/Reward คุ้มค่าแม้สงครามการค้าเลวร้ายด้วย "Revision Adjusted Reward to Risk metric (RARR)" โดยทำ indicator สำหรับ screen หากลุ่มที่น่าลงทุน
1) มี Risk/Reward ที่คุ้มค่า ดูจากผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบความเสี่ยงและ
2) มีทิศทาง earnings revision เป็นบวกในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับ
3) มีความเสี่ยงกำไรต่ำ (ประมาณการณ์กำไร bear case ของ BLS เทียบ consensus)
โดยสรุป กลุ่มที่มี Risk/Reward คุ้มค่าที่สุด, ความเสี่ยงกำไรไม่สูง, ไม่โดน cut กำไรลงแรงช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่ม ICT, กลุ่มค้าปลีกของใช้จำเป็น (Consumer staples), กลุ่มโรงพยาบาล
Stock Picks: หุ้นที่มี Risk/Reward สูงได้แก่ CPALL CPF MINT GULF ADVANC BDMS

 

Tactical Stock
ขอเสียง...ให้หุ้นเล็ก...หน่อยครับ
การฟื้นตัวของตลาดช่วงที่ผ่านมา พบว่าดัชนี MAI เพิ่มขึ้น 17% จากจุดต่ำสุด (9 เม.ย.) แซงหน้า SET ที่ 7% สะท้อนการปรับขึ้นของหุ้นขนาดเล็ก และยังพบการฟื้นตัวของหุ้นใหญ่ในรอบนี้ ก็ไม่ได้มีธีมใดธีมหนึ่งอย่างชัดเจน และเล่นแบบกระจัดกระจาย เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินกระจายมาเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก (ทั้ง SET และ MAI) ด้วย เช่น CWT, OKJ, MCOT, DITTO โดยสังเกตุว่าเป็นกลุ่มมี Story

ดังนั้นเราจึงใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ สกรีนหุ้นผ่านเงื่อนไขต่างๆ เช่น Market Cap. ต่ำกว่า 1 หมื่นลบ., Trading value เฉลี่ย 5 วันมากกว่า 5 ลบ./วัน รูปแบบกราฟทางเทคนิคที่เป็นสัญญาณเชิงบวก ดูผลจากสงครามการค้ากระทบจำกัด หรือ เป็นเชิงบวก และกำไรใน 4Q24 ที่ผ่านมาไม่แย่ หรือผ่านจุดต่ำสุด (ดู List ได้ในรายงาน) สุดท้าย ตรวจสอบโอกาสที่จะเห็น Story Driven ต่างๆ มีตัวอย่างหุ้น ดังนี้

NSL (ล็อคกำไร 34, ตัดขาดทุน 29): เมื่อต้นเดือน CPALL, NSL และเนื้อแท้ ได้ร่วมเปิดตัวสินค้าร่วมแบรนด์ใหม่ เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้น ได้รับเสียงตอบรับดี และเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้น

NYT (ล็อคกำไร 3.6, ตัดขาดทุน 3.3): จากยอดจองรถ Motor Show 2025 มากกว่า 77,000 คัน เซอร์ไพร์สตลาด และเป็นรถ BEV ส่วนใหญ่ เมื่อเทียบยอดผลิตในประเทศ น่าจะยังไม่พอ อาจต้องมีการนำเข้าเพิ่มเติม เป็นอานิสงค์บวกต่อ NYT ที่ให้บริการท่าเทียบเรือนำเข้า-ส่งออกรถยนต์

NETBAY (ล็อคกำไร 22, ตัดขาดทุน 19): จาก Frontload demand และสินค้าจากจีนที่อาจทะลักเข้ามา NETBAY ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์ม e-customs จะมีปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้น อีกด้านหนึ่ง บริษัทก็ได้รับประโยชน์จากโปรเจกต์บริการดิจิทัลของ DITTO ด้วย

MONO (ล็อคกำไร 1.7, ตัดขาดทุน 1.4): หลัง JAS ได้ร่วมมือกับ AIS ไม่เพียงแต่ลดภาระค่าใช้จ่ายของ MONO แต่ยังเป็นการการันตีฐานผู้ใช้งาน ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ JAS ยังร่วมมือกับ Plan B และ Siamsport สร้างการเข้าถึงหลายช่องทาง เสริมแบรนด์ MONOMAX ระยะยาว

TEAMG (ล็อคกำไร 3.4, ตัดขาดทุน 3.1): มีโอกาสเห็นงานเพิ่มหลังเกิดแผ่นดินไหวล่าสุด และการที่รัฐบาลจะเร่งแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งอาจมีเรื่องถมทะเลในอนาคต

KCG (ล็อคกำไร 9, ตัดขาดทุน 8.2): แนวโน้มรายได้และอัตรากำไรขยายตัวได้ใน 1Q25 จากการปรับ Product mix ที่ดีขึ้น รวมทั้งสินค้าของ KCG ซึ่งอาหาร ดูจะทนทานต่อความผันผวนได้มากกว่าภาพรวม

ROCTEC (ล็อคกำไร 0.7, ตัดขาดทุน 0.55): การได้งานใหม่ ของ รฟท. ล่าสุด (ที่ ROCTEC ทำร่วมกับ SKY) เป็นการเริ่มต้นวางรากฐานการรับงานวางระบบในประเทศ และสร้าง Track record อย่างจริงจัง เพื่อเปิดโอกาสรับงานใหม่ ทั้งในส่วนภาครัฐอย่าง รฟท. และกลุ่ม BTS ที่เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

 

 


Bank Sector
สัญญาณความตึงตัวเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เราไปศึกษาข้อมูลในอดีต พบว่าในช่วงที่ NPLs/loans ratio ของธนาคารพาณิชย์ไทย ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2014-17, 2020 และ 2023-24 เราเห็นการปรับลดประมาณการของของกลุ่มธนาคารลงเช่นเดียวกัน โดยระยะเวลาในการปรับลดลงจะอยู่ในช่วงประมาณ 6-9 เดือน ส่วนการปรับลดลงก็จะอยู่ที่ราว 10-25% ทั้งนี้ แม้เราจะยังไม่ได้เห็นการปรับลดประมาณการของตลาดมากนักในปีนี้ แต่หากมีการปรับลดประมาณการของตลาดรอบนี้ เราคาดว่าน่าจะจบเร็วขึ้น เพราะสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปจากอดีต และธนาคารก็มีการระวังในการปล่อยสินเชื่อและตั้งสำรองเพิ่มเติมมาแล้วกว่า 2 ปี

นอกจากนี้ เราได้ทำการวิเคราะห์กรณี bull-case และ bear-case เพื่อหาจังหวะในการเข้าลงทุน โดยปัจจุบันกรณี base-case เราคาดกำไรสุทธิกลุ่มธนาคารจะลดลง 7% YoY

แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด ก็จะกดดันให้การชำระหนี้ของลุกค้าลดลง และธนาคารก็จะระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นด้วย ทำให้ในกรณี bear-case ภาพรวมกำไรกลุ่มธนาคารปีนี้ จะปรับลดลง 15% YoY (เห็นความเสี่ยงของประมาณการกำไรราว 9% จากกรณี base-case)

ส่วนในกรณี bull-case หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด เราประเมินว่าความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้จะดีขึ้นและสินเชื่อเติบโตได้บ้าง ทำให้เราคาดว่ากำไรปีนี้ของกลุ่มธนาคาร น่าจะทรงตัวใกล้เคียงปีที่แล้วได้ (upside จากประมาณการในกรณี base-case ราว 6%)

Fundamental view: เรามองว่าตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่หุ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี มากกว่าเรื่องของการเติบโตในปีนี้ เราจึงแนะนำเลือกหุ้นที่แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์น่าจะยังดี โดยแนะนำ ซื้อ BBL และ KTB เนื่องจากโครงสร้างสินเชื่อเป็นรายใหญ่และรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินเชื่อในกลุ่ม SME และรายย่อย นอกจากนี้ เราแนะนำถือ SCB เนื่องจากคาดว่าน่าจะยังจ่ายปันผลสูงในระดับ 8% ได้ในปีนี้

 

สรุปประเด็นจาก Quick take

BBL
ธนาคารกรุงเทพ
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ธนาคารปรับลดเป้าหมาย GDP growth ปีนี้ของไทยลงจาก 3% เหลือ 2% โดย BBL ดูมีความกังวลน้อยกว่าธนาคารอื่น เพราะมีธุรกิจในต่างประเทศเยอะ และประเมินว่าสงครามการค้าเป็นโอกาสของอาเซียนในระยะกลางถึงยาว
View from fundamental: เราประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ BBL น่าจะบริหารจัดการได้ และมี loan-loss coverage ratio สูง รองรับความผันผวนของเศรษฐกิจได้


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้