Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

214

 


เจอเรื่องลบมาเยอะ เรื่องดีๆ กำลังเข้ามาบ้าง
TOP PICK DELTA / SCC / CPALL

EXTERNAL FACTOR
GLOBAL INDICES

• ผลพวงสงครามการค้ารอบใหม่ เริ่มส่งสัญญาณต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กดดันให้ดัชนี PMI รวมสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 16 เดือน หลังความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจร่วงลง
• อย่างไรก็ตาม ช่วงสัปดาห์ก่อน ปธน. ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งครบ 100 วันแรก เริ่มเห็นท่าทีของสหรัฐฯ ที่อ่อนลงต่อนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะกับ “จีน” หลังสหรัฐฯ –จีน ต่างตอบโต้ปรับขึ้นภาษีสูงเกินกว่า 100%
• มองเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อตลาดหุ้นกลับมา REBOUND ได้ในช่วงนี้

INTERNAL FACTOR
• นโยบายการเงิน-คลังเตรียมเข้ามาช่วยลดผลกระทบ TRADE WAR 2.0 เริ่มจากนโยบายการเงิน ซึ่งมีโอกาสสูงที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เหลือ 1.75% ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.68 ซึ่งสอดคล้องกับความคิดนักลงทุนที่แสดงผ่าน BOND
YIELD 10Y ไทยที่อยู่ที่ 1.90%
• ทางฝั่งรัฐบาลเตรียมออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งมองว่าน่าจะใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า500,000 ล้านบาท โดยจะโฟกัสเม็ดเงิน 3 ส่วน คือ 1.การกระตุ้นการบริโภค 2.การลงทุนในประเทศ 3.การออกซอฟต์โลน ซึ่งจะกระทบให้หนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่ม 3%มาอยู่ที่ 67.21%

INVESTMENT STRATEGY
• ตลาดหุ้นไทยดูแข็งแรงขึ้น เพราะนักลงทุนปรับพอร์ตเตรียมตัวรับข่าวลบมาในระดับหนึ่งแล้ว สะท้อนได้จากช่วงนี้เวลาข่าวลบเข้ามาหุ้นลงน้อย เวลาข่าวบวกเข้ามาหุ้นขึ้นเยอะ และยังมีปัจจัยหนุนตลาดรออยู่ใน 1 – 2 สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งการเข้าสู่ 100 วันแรกที่ทรัมป์รับตำแหน่ง ปธน. สหรัฐฯ, กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ย, รัฐลดค่าโอนจดจำนองอสังหาฯ, และเริ่มมีแรงซื้อจากกองทุน THAI ESGX ทยอยเข้ามา
• 10 หุ้นเด่น 5 เก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง DELTA, AMATA, SCGP, TOP, AOTและ5 หุ้นสะสมระยะกลางยาวSCC, CPALL, BDMS, WHA, CK

 

คาดหวังความรุนแรง TRADE WAR จะเบาลง
ผลพวงสงคราการค้ารอบใหม่ เริ่มส่งสัญญาณต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ล่าสุดสะท้อนจากดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐฯ เดือน เม.ย. 68 อยู่ที่51.4 จุด ซึ่งต่ำกว่าตลาดคาดที่ 52.8 จุด กดดันให้ดัชนีPMI รวมสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 16 เดือน หลังความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจร่วงลง


อย่างไรก็ตาม ช่วงสัปดาห์ก่อน ปธน. ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งครบ 100 วันแรก เริ่มเห็นท่าทีของสหรัฐฯ ที่อ่อนลงต่อนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะกับ “จีน” หลังสหรัฐฯ –จีน ต่างตอบโต้ปรับขึ้นภาษีสูงเกินกว่า 100%โดยล่าสุด ปธท. ทรัมป์ กล่าวว่าอาจกำหนดอัตราภาษีใหม่สำหรับ “จีน” ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่ขึ้นอยู่กับจีนด้วย ส่วนรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ (เบสเซนต์) เผยว่าสหรัฐ-จีนมีโอกาสบรรลุข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่ อีกทั้ง THEWALL STREET JOURNAL เผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของ TRUMP กำลังพิจารณาแผนปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจาก “จีน” ลงมา 50-65% ขณะที่ในฝั่งของ “จีน” เผยว่าพร้อมเปิดประตูเจรจาการค้าสหรัฐฯ

สรุป มาตรการตั้งกำแพงภาษีที่มีท่าทีเบาลง น่าจะช่วยลดระดับความกังวลต่อเศรษฐกิจชะลอตัวลงไปได้บ้าง มองเป็นSENTIMENT เชิงบวกต่อตลาดหุ้นกลับมา REBOUND ได้ในช่วงนี้

นโยบายการเงิน-คลังเตรียมเข้ามาช่วยผลกระทบ TRADE WAR 2.0
วันนี้ติดตามตัวเลขส่งออกไทย คาด +12.8%YOY เติบโตต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ +14.0%YOY ซึ่งหากออกมาตามคาดจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อการลดความเสี่ยง TRADE WAR ได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ธปท.ระบุว่ามาตรการภาษีของสหรัฐ รวมถึงการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลัก จะส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลกอย่างมีนัย ทำให้มีผลกระทบส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยคาดจะกดดัน GDP GROWTH ปี 68 หลุดเป้าหมายเดิมที่ 2.5% ซึ่งจะแถลงประมาณการใหม่ในการประชุม กนง. วันที่ 30 เม.ย.68 โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่าตัวเลขมีโอกาสเข้าใกล้ <2.0% ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นปัจจัยที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้คงหนีไม่พ้นนโยบายการเงิน ซึ่งมีโอกาสสูงที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เหลือ 1.75% ในการประชุมวันดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับความคิดนักลงทุนที่แสดงผ่าน BOND YIELD 10Y ไทยที่อยู่ที่ 1.90% ย่อตัวลงมาต่ำกว่าระดับดอกเบี้ยนโยบาย
แล้ว

ขณะที่ทางฝั่งรัฐบาลเตรียมออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจรับมือ TRADE WAR 2.0 ซึ่งมองว่าน่าจะใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท โดยจะโฟกัสเม็ดเงิน 3 ส่วน คือ 1.การกระตุ้นการบริโภค 2.การลงทุนในประเทศ 3.การออกซอฟต์โลน เพื่อให้มูลค่า GDP ไม่ชะลอตัวลงมากเกินไป โดยหากรัฐบาลเลือกกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท จะกระทบหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่ม 3%มาอยู่ที่67.21%ซึ่งระยะถัดไปมีโอกาสสูงที่จะเกิดการขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น
75-80% ซึ่งทางรัฐบาลมองว่าไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศมากนัก(CREDIT RATING) และกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 มากกว่า

ตลาดดูแข็งแรงขึ้น เพราะนักลงทุนปรับพอร์ตเตรียมตัวรับข่าวลบต่างๆ มาในระดับหนึ่งแล้ว สะท้อนได้จากช่วง9 –22เม.ย. 68เวลาข่าวลบเข้ามาหุ้นลงน้อย (เฉลี่ยทรงๆ ตัว 0.2% ต่อวัน) เวลาข่าวบวกเข้ามาหุ้นขึ้นเยอะ (0.8% และ 4.2%ต่อวัน)

และยังมีปัจจัยหนุนตลาดรออยู่ใน 1 – 2 สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งการเข้าสู่ 100 วันแรกที่ทรัมป์รับตำแหน่ง ปธน. สหรัฐฯ,กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ย, รัฐลดค่าโอนจดจำนองอสังหาฯ, และเริ่มมีแรงซื้อจากกองทุน THAI ESGX ทยอยเข้ามา


กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ 10 หุ้นเด่น 5 เก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง DELTA, AMATA, SCGP, TOP, AOT และ 5 หุ้นสะสมระยะกลางยาว SCC, CPALL, BDMS, WHA, CK (รายละเอียดต่างๆ ดูได้ที่บทวิเคราะห์ INVESTMENT TALKวันที่ 23 เม.ย. 68 หัวข้อ “โปรยหุ้นเข้าพอร์ต รับหน้าฝน”)

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้