Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล. เอเซีย พลัส : SCC ให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสม 210 บาท

404


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC ภาพรวมผลประกอบการ 1Q68 แม้ยังไม่โดดเด่น แต่ก็น่าจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้อีกครั้ง หลังจากประสบผลขาดทุน 512 ล้านบาท ในงวด 4Q67 โดยฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิงวด 1Q68 จะอยู่ที่ 931 ล้านบาท โดยธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจ Packaging จะกลับมาทำกำไรได้จากที่มีผลขาดทุนในไตรมาสก่อน เหลือเพียงธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังมีผลขาดทุน เนื่องจาก SCC มีค่าใช้จ่ายคงที่ (ค่าใช้จ่ายด้าน Overhead ค่าเสื่อมราคาดอกเบี้ยจ่าย ค่าไนโตรเจนในการรักษาสภาพเครื่องจักรให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา) จากโรงงาน Long SonPetrochemical (LSP) ในเวียดนาม ประมาณเดือนละ 1,200 ล้านบาท ในขณะที่โรงงาน LSP ยังไม่กลับมาเปิดดำเนินงาน เนื่องจาก Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอยู่ในระดับต่ำ

สำหรับธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กลับมาทำกำไรได้เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการก่อสร้างและไม่มีค่าใช้จ่าย One time ในการปรับโครงสร้างองค์กรเหมือนงวด 4Q67 และยังได้อานิสงค์บางส่วนจากการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ในเดือนมีนาคม ส่วนธุรกิจ Packaging รับผลบวกจากต้นทุนเศษกระดาษที่ปรับตัวลดลง และไม่มีค่าใช้จ่าย One time เหมือนที่เกิดขึ้นใน 4Q67

รายละเอียดแยกตามธุรกิจมีดังนี้

ธุรกิจปิโตรเคมี : ประเมินงวด 1Q68ขาดทุน 3.1 พันล้านบาท เทียบกับงวด 4Q67 ที่มีผลขาดทุน 3.4 พันล้านบาทผลขาดทุนลดลง แม้ว่า Spread ของผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HDPE-Naphtha และ PP-Naphtha จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวด 4Q67 ก็ตาม แต่ค่าใช้จ่ายด้าน Overhead ของโรงงาน LSP ในเวียดนามในไตรมาสนี้จะต่ำกว่างวด4Q67 เนื่องจาก LSP หยุดด าเนินงานเต็มไตรมาส เทียบกับงวด 4Q67 ที่เปิดดำเนินงาน 1 เดือน โดยปริมาณการจำหน่ายเม็ดพลาสติก Polyolefin (PE+PP)งวด 1Q68 คาดลดลงเหลือเพียง 4.3แสนตัน ต่ำกว่างวด 4Q67 ที่ 5.5แสนตัน ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และการชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้าในภาวะที่ยังไม่มีความแน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ปริมาณการขาย PVC คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.57 แสนตัน สูงกว่างวด 4Q67 ที่มีปริมาณการขาย 1.43 แสนตัน จากการกลับมาเปิดดำเนินงานโรงงาน VCM ที่หยุดดำเนินงานไปในช่วงต้น 4Q67จากเหตุอุบัติเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นปลาย 3Q67 บวกกับการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของภาคก่อสร้าง ปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) ประเมินกำไรงวด 1Q68 ที่ 1.9พันล้านบาท turnaround จากงวด 4Q67 ที่มีผลขาดทุน 67 ล้านบาท เนื่องจากงวด 4Q67 มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดจากโครงการลาออกโดยสมัครใจของพนักงานและมีการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่ค้างไว้นาน รวมกันประมาณ 500 ล้านบาท ในขณะที่ 1Q68 ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าว นอกจากนี้ไตรมาสแรกของปี ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยมีความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างและปูนซีเมนต์มากขึ้นในโครงการก่อสร้างภาครัฐ รวมไปถึงธุรกิจในต่างประเทศอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียที่จะได้รับผลบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ด้านอัตรากำไรก็น่าจะได้แรงหนุนจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวลดลง และอานิสงค์บางส่วนจากการประกาศปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์400 บาท/ตันเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค 68 ซึ่งผลบวกจากราคาขายปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นจะเกิดขึ้นชัดเจนในงวด 2Q68 เป็นต้นไปธุรกิจ Packaging (SCGP) ประเมินกำไรงวด 1Q68 ที่ 826 ล้านบาท พลิกฟื้นจากงวด 4Q67 ที่ขาดทุน 57 ล้านบาท ปัจจัยหนุนมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นตามการบริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียน โดย SCGP มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 87% เพิ่มขึ้นจากงวด 4Q67 ที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิต 84% บวกกับต้นทุนวัตถุดิบหลักคือ เศษกระดาษ ที่ปรับตัวลง อ้างอิงราคาเศษกระดาษนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา (AOCC) เฉลี่ย 4Q67 ซึ่งจะน ามาใช้เป็นวัตถุดิบในงวด 1Q68 ปรับตัวลดลง 16%QoQ ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ของ SCGP อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม นอกจากนี้ในงวด 1Q68 ธุรกิจ Fibrous Chain สามารถกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติเต็มไตรมาสหลังจากมีการหยุดซ่อมบำรุง Boiler ของโรงต้มเยื่อในการผลิต Dissolving Pulp ในเดือน ธ.ค 67 ส่วนธุรกิจรีไซเคิลก็มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล จากการที่โรงงานผลิตกระดาษในหลายประเทศมีอัตราการใช้กำลังการผลิตมากขึ้น และไม่ได้มีค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจากการเปลี่ยนวิธีคำนวณต้นทุนใหม่ ซึ่งทำให้เกิดรายการทางบัญชี
เป็นค่าใช้จ่ายในงวด 4Q67 จำนวน 260 ล้านบาท

เส้นทางการฟื้นตัว เผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น
แผนการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของ SCC ที่มีทั้งแผนระยะสั้น ได้แก่ การเร่งเสริมสร้างสินค้าและบริหารที่สามารถแข่งขันได้ การยกเลิก/ขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรเพื่อลดภาระทางการเงิน การลดเงินทุนหมุนเวียนลงการปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในกลุ่มฯเพื่อลดภาระหนี้สินจากภายนอก คาดหวังจะช่วยลดต้นทุนลงได้5,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 และแผนระยะยาวจากการลงทุนโครงการเพิ่มวัตถุดิบการผลิตเพื่อรองรับก๊าซอีเทน

ส หรับโรงงาน LSP เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งมีความคืบหน้าแล้วทั้งการจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้างการลงนามสัญญาระยะยาวในการจัดหาก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาและสัญญาระยะยาวสำหรับเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทน โดยคาดโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2570เส้นทางการฟื้นตัวของ SCC กำลังเผชิญกับปัจจัยท้าทายใหม่ทางด้านเศรษฐกิจมหภาคที่มีความซับซ้อนมากขึ้นหลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรภารกำแพงภาษีต่อทุกประเทศ นำไปสู่การตอบโต้ของประเทศต่างๆที่ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก รวมไปถึงความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่จะลดลงตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีก็กำลังเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดจากกำลังการผลิตใหม่ใประเทศจีน แต่วิกฤติดังกล่าวที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างมาก กลับกลายเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ผลิตโอเลฟินส์ที่ใช้ Naphtha เป็น Feedstock อย่าง SCC โดยราคาน้ มันดิบที่ลดลงทุก 15 USD/บาร์เรล จะทำให้ราคา Naphtha ลดลง 100 USD/ton และทำให้ SCC ประหยัดต้นทุนพลังงานที่เกิดจากการนำ By-product เหลือทิ้งจาก Feedstock Naphtha มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20% ของ Naphtha ทั้งหมด ได้ถึง 4 พันล้านบาท/ปีมีความน่าสนใจในเชิง Valuation แต่ยังไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้น

ให้น้ำหนักลงทุน Neutralความน่าสนใจของ SCC อยู่ที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PBV เพียง 0.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปีถึง 1.7เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขณะที่ประมาณการกำไร1Q68 แม้จะคิดเป็นสัดส่วน 9% ของประมาณการกำไรปี 2568 ที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ 10,124 ล้านบาท แต่ช่วงที่เหลือของปีนี้มีโอกาสที่ SCC จะบันทึกกำไรพิเศษผ่านบริษัทลูกคือ Chandra Asri ที่เข้าซื้อโรงกลั่นในสิงคโปร์จาก Shell ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เกิด Negative Goodwill บวกกับต้นทุน Naphtha ที่ลดลงและการปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์ในประเทศซึ่งจะส่งผลบวกตั้งแต่ 2Q68 เป็นต้นไป ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรไว้เท่าเดิม อย่างไรก็ตาม ฐานกำไรปกติในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้าที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เพราะต้องมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของโรงงาน LSP ในเวียดนามและปัจจัยลบใหม่เกี่ยกับสงครามการค้า จึงคงให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสม 210 บาท

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้