Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

348

 

"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1195/1200จุด รับ 1180/1175จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) กระแสเงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ +1.3% ทำ New High US Bond Yield 10ปี ผันผวนบ่งชี้ความกังวลเศรษฐกิจ หลังคุณ Trump ใช้นโยบายกีดกันการค้ารถยนต์ไม่ผลิตในสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดรอติดตาม a.) รายงานเงินเฟ้อ PCE สหรัฐ ก.พ. 25 ตลาด Core PCE มอง +0.3%m-m ต่ำกว่านักเศรษฐศาสตร์ Top Rank คาด +0.4%m-m หลังองค์ประกอบชี้นำบางส่วนจากเงินเฟ้อ PPI อาหารเร่งขึ้น b.) ความชัดเจนภาษีเท่าเทียม 2 เม.ย. 2.) ภายในเป็นบวก นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น > 1 พันล้านบาท ในรอบ 13 วัน ผสาน หุ้นในตลาดทยอยซื้อคืนหุ้น ผสาน SET เริ่มเจอฐานทางเทคนิค ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นต่อเนื่องบ่งชี้ภาพ Deep Value ที่ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ 3.) รัฐฯเริ่มแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหนี้ครัวเรือน ผสาน วานนี้ภาพ New S Curve ภายในชัดขึ้นทั้งการอนุมัติ ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร ขณะที่งาน AI Revolution บ่งชี้ Use Case ใหม่ๆเพิ่มขึ้น 4.) ประเมินภาพภายในหนุน SET หุ้นนำ คือ 10 หุ้น Deep Value, หุ้น Domestic (ธนาคาร, ท่องเที่ยว, สื่อสาร) และเก็งกำไรหุ้นเข้า SET50/100 (VGI, THCOM) หลัง GULF รวม INTUCH วันนี้แนะนำ ADVANC,KBANK, BA

 


Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1195/1200 จุด รับ 1180/1175 จุด

What happened around the world?

(*/-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อย แรงกดดันคือ ประเด็นเดิมข่าวประธานาธิบดีทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ และตลาดรอรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ PCE คืนนี้อิง Dow jones -0.37%d-d, ดัชนี Nasdaq -0.53%d-d, S&P500 -0.33% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับขึ้น หลักๆ คือ Consumer staples, Health care, Consumer discretionaryฯลฯ Sector ที่ปรับลงคือ Energy, ICT, IT, Industrials ฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ GM บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ -7.3% Ford -3.9% Aptiv -5.4% และหุ้น BorgWarner ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ -4.7% จากผลกระทบนโยบายขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ในต่างประเทศเข้าสหรัฐ สวนทาง Tesla +0.4% จากตลาดมองจะได้รับผลกระทบตากนโยบายภาษีจำกัด ฯลฯ

(*) US Monitors : 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ 1.) นโยบายภาษีนำเข้าจากประธานาธิบดีสหรัฐ ในสินค้าอื่นๆ หลังจากกลางสัปดาห์ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ และล่าสุดทรัมป์ เตือนว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสหภาพยุโรป (EU) และแคนาดา ในอัตราที่สูงกว่าที่เคยประกาศไว้ หากร่วมมือกัน โดยวันที่ 2 เม.ย. มีความสำคัญมากที่สุดคือ ภาษีเท่าเทียม KSS ประเมินจะทำให้ตลาดหุ้นโลกยังผันผวนในช่วง 1 สัปดาห์นี้ 2.) ติดตามคืนนี้รายงานเงินเฟ้อ PCE ทั่วไป เดือน ก.พ. +2.5%y-y +0.3% เงินเฟ้อ Core PCE สหรัฐ คาด +2.7%y-y, +0.3%m-m prev 2.6%y-y โดย Top ranks คาด +0.4%m-m โดยรวมเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ Fed ให้น้ำหนักและใช้ประกอบการพิจารณาอัตราดอกเบี้ย KSS คาดปีนี้ Fed จะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่ม ICT อาทิ ADVANC, TRUE

(*) US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี 1.) GDP 4Q24(ครั้งที่3) +2.4%q-q ต่ำคาด +2.5%q-q vs prev. +2.3%q-q, การใช้จ่ายของผู้บริโภค +4% อย่างไรก็ตาม KSS มองว่าเป็น Lagging Indicator เนื่องจากเป็นตัวเลขไตรมาสที่ 4 โดยให้น้ำหนัก GDP Now โดย Fed Atlanta มากกว่า 2.)ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ -1 พันรายจากสัปดาห์ก่อน ที่ 2.24 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.25 แสนราย ใค่ากล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.24 แสนราย prev. 2.21 แสนราย ตัวเลขแรงงานที่ออกมายังสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) 3.)การทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ในเดือน ก.พ. +2.0% m-m สู่ระดับ 72.0 สูงกว่าตลาดคาด 1.0%

(*) US Bond Yields & Dollar US Bond Yields อายุ 2 ปี ปรับลงหลุดแนวรับโซน 4% ลงมา -3 bps อยู่ที่ 3.99% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี -1 bps 4.35% หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าลงมาที่ 103.9 จุด

(+)Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อเล็กน้อย อิง น้ำมันดิบ Brent +0.4%d-d ปิดที่ USD 73.35/barrelน้ำมันดิบ West Texas +0.28%d-d ปิดที่ USD 69.8/barrel มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT

(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลงติดต่อกัน 11 สัปดาห์ ล่าสุด -4%w-w อยู่ที่ 2168 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้)

What happened in Thailand?

(*) SET: SET Index ลดลง -2.46 จุด (-0.21%) ปิดที่ระดับ 1,188 จุด มูลค่าการซื้อขาย 2.7 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับลง 327 บริษัท, หุ้นปรับขึ้น 158 บริษัท) มีจิตวิทยาลบจากข่าวทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% กับรถยนต์ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐ กดดันหุ้นในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมี Sector ที่ปรับลงกดดัชนี คือ คือ กลุ่มอิเล็กฯ (KCE, DELTA) ที่เป็นกลุ่มหุ้นซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์โลก และ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CRC, HMPRO) หลักๆ มาจาก HMPRO ที่ปรับตัวขึ้นแรง ส่วน Sector ที่ปรับขึ้น คือ กลุ่มธนาคาร (KBANK, TTB, KTB) ขานรับรัฐฯเร่งเดินหน้านโยบายซื้อหนี้ธนาคารในส่วนหนี้เสีย (NPLs) ที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารน่าจะตั้งสำรองไปทั้งหมดแล้ว หนุนโอกาสเปิด Upside คุณภาพสินทรัพย์ และ กลุ่ม ICT (ADVANC) เราออกรายงานประเมินความร่วมมือกับ GULF เป็นบวกต่อระยะกลาง-ยาว

(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ขายหุ้น +34.5 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร+126.7ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ -3,567 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่ 33.8+/- บาท

(+) Cabinet: มติที่ประชุม ครม. ที่สำคัญวานนี้

1.) ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์ฯ บวกในหุ้นธีมดังกล่าว BTS, VGI, BA, STECON กลุ่มธนาคาร BBL, KBANK, KTB และกลุ่มท่องเที่ยว ERW, MINT

2.) พ.ร.ก. เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.เบ็ดเสร็จ คดีอาญาตลาดหุ้น หนุนจิตวิทยาลงทุน SET จากความเชื่อมั่นกลไกกำกับดูแลคล่องตัวขึ้น เชิงกลยุทธ์แนะนำสะสม 10 หุ้น Deep Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT) ที่ปรับตัวลงตามภาพรวมตลาด แต่พื้นฐาน 1-2 ปียังมั่นคง

(+) TH Tourism: ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" รมว. กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จะมีรูปแบบคล้ายโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ใช้งบประมาณวงเงิน 3,550 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงโลว์ซีซัน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ย. 2568 ทางรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว 50% (ประชาชนจ่ายเอง 50%) สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองรอง และจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว 40% (ประชาชนจ่ายเอง 60%) สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองหลัก เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิ จำนวนทั้งหมด 1 ล้านสิทธิ จำกัดสิทธิคนละไม่เกิน 10 ห้อง หรือ 10 คืน (10 สิทธิ) โดยสามารถใช้สิทธิจ่ายค่าห้องพักโรงแรมและร้านอาหารได้ (ไม่รวมเครื่องบิน) ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนค่าห้องพักโรงแรมสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน คาดนำเสนอ ครม. ก่อนเทศกาลสงกรานต์นี้ ประเมินบวกต่อหุ้นโรงแรม เน้น ERW ที่มีสัดส่วนโรงแรมในประเทศมากสุด

(*/+) High Speed 3 Airports: บอร์ดการรถไฟฯ อนุมัติร่างสัญญาโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ฉบับแก้ไข เตรียมนำส่งให้คณะกรรมการกำกับสัญญา EEC-อัยการสูงสุด และเสนอ ครม. คาดลงนามแก้ไขสัญญากลุ่ม CP ได้ มิ.ย. 25 และเดินหน้าก่อสร้างหลังจากนั้น ประเมินจิตวิทยาบวกต่อผู้ดำเนินการโครงการเกี่ยวเนื่องสนามบินอู่ตะเภา ในส่วน BA, BTS, STECON ลงทุนเน้น BA, BTS เก็งกำไรเน้น STECON

(*/+) AI Revolution: งานสัมมนา AI Revolution "a New Paradigm of New World Economy" ข้อมูลหลักที่น่าสนใจ คือ Use Case ของการใช้ AI ในธุรกิจต่างๆ เพิ่มอย่างเห็นได้ชัด บ่งชี้ภาพโอกาสโดยรวม บจ. ไทย ที่มีแนวโน้มเป็นผู้นำ AI ไปต่อยอดประสิทธิภาพธุรกิจ > พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ แม้ในงานมีข้อเสนอแนะที่ให้คนไทยปรับมุมมองความเชื่อมั่น โดยยกตัวอย่าง กรณี Deepseek ของจีนที่ขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์แทรกฝั่งสหรัฐฯได้ ทั้งนี้ ตัวอย่าง Use Case ทีน่าสนใจ ของ บจ. ต่างๆ ในงาน อาทิ

o WHA การใช้ในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA เช่น การใช้ AI ช่วยคัดกรองพื้นที่หลังคาโรงงาน/พื้นที่ที่ต้องซ่อมแซ่ม

o KBANK (KBTG) และ BBIK คาดว่าการใช้ AI ในกลุ่มธุรกิจการเงินยังพัฒนาไปได้อีกหลายมิติที่คาดไม่ถึง อาทิ ทั้งการต่อยอดบริการต่างๆ ที่จะเกิดนวัตกรรมเพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้ด้านความปลอดภัย อาทิ บัญชีม้า การฉ้อโกง

o ADVANC การใช้ AI พัฒนาประสิทธิภาพโครงข่าย เช่น บริหารพลังงาน ซ่อมบำรุงก่อนเสียหายรุนแรง

o CPALL การใช้ AI บริหารจัดการสินค้าในร้านให้มีประสิทธิภาพ

o AOT ใช้ AI ลดขั้นตอนต่างๆ ที่จำเป็นในสนามบิน เพื่อเพิ่มเวลาจับจ่ายผู้ใช้บริการในพื้นที่พาณิชย์

โดยรวมเราประเมิน AI Adoption กำลังเป็นกระแสที่มีศักยภาพจะเกิดขึ้นเร็วกว่าตลาดคาดไว้ ทั้งนี้ ในทุก Use Case ของ AI พื้นฐานหลักที่วิทยากรแต่ละท่านเน้น คือ i.) ความพร้อมข้อมูลที่เป็นระบบเปรียบเสมือนวัตถุดิบของ AI ii.) การสร้างวัฒนธรรมการใช้ AI ขององค์กร โดยที่ไม่ใช่หน้าที่ฝ่ายไอทีอย่างเดียว ผสาน ทีมกลยุทธ์ทำการศึกษาความพร้อม AI Adoption ในแต่ละอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะ Data เราประเมินอุตสาหกรรมที่น่าจับตาโอกาส AI ต่อยอดธุรกิจได้เร็วและเป็น S Curve การเติบโตใหม่ คือ สถาบันการเงิน (KBANK, SCB) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) การแพทย์ ภาคผลิต (PTT, SCC) ขณะที่น่าส่งผลบวกต่อกลุ่มสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ในส่วน Data Center โรงไฟฟ้า GULF, GPSC สื่อสาร ADVANC, TRUE รับเหมาสร้าง STECON, INSET

(*) TFEX Rollover: สัญญาณ Futures ซีรี่ย์ H25 จะทำการซื้อขายวันสุดท้ายในวันนี้ โดยสำหรับ S50 Futures สถานะซื้อขายสะสมของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 2024 – 27 มี.ค. 2025 เป็นดังนี้ นักลงทุนต่างประเทศ +33078 สัญญา นักลงทุนสถาบัน +357 สัญญา และนักลงทุนรายย่อย -33435 สัญญา โดย S50H25 เหลือสถานะคงค้างอยู่ 200656 สัญญา เราแนะนำระวังความผันผวนช่วง Rollover 16:15 – 16:30

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์หน้า ติดตาม

1 เม.ย. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติประจำสัปดาห์

2 เม.ย. ติดตามการประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯเก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเกษตร ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น

3 เม.ย. GULF (หลังควบรวม INTUCH) กลับมาซื้อขายในตลาดวันแรก

4 เม.ย. เงินเฟ้อ CPI มี.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. +1.08%y-y , เงินเฟ้อพื้นฐาน CPI ไม่มีคาด vs prev. +0.99%y-y

 

Daily Strategy : ADVANC, KBANK, BA

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" แม้ต่างประเทศเป็นภาพรอติดตามรายงานเงินเฟ้อ PCE และนโยบายภาษีเท่าเทียมคุณ Trump แต่ภายในเรามองบวกขึ้น สัญญาณหลายด้านบ่งชี้ SET อยู่ในโซน Deep Value ขณะที่ภาพแรงหนุนทยอยเข้ามา ทั้งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การต่อยอด New S Curve และการเตรียมยก พ.ร.ก. เพิ่มความยืดหยุ่นกำกับดูแลตลาดของ ก.ล.ต. ประเมินภายในเป็นแรงหนุนวันนี้ หุ้นนำ คือ10 หุ้น Deep Value, หุ้น Domestic (ธนาคาร, ท่องเที่ยว, สื่อสาร) และเก็งกำไรหุ้นเข้า SET50/100 หลัง GULF รวม INTUCH (VGI, THCOM)

 

1) หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)

2) หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)

3) หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)

4) กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)

5) กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)

6) 10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว

 

• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

 

 

Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

 

• ROJNA (Neutral, TP25F-6.8): We've cut our core profit forecast by 13%-24% for FY25F and FY26F, reflecting weaker land sales and adjustments to our power unit earnings projections. We nearly halved our land sales forecast to 1,000 rai per year for FY25F-FY27F and lowered our land transfer forecast by 27%-29% to c.1,300 rai per year. This transfer forecast may be optimistic, as it exceeds projected annual land sales, and the backlog is declining. Furthermore, the company's increased exposure to IU customers for electricity sales, whose selling price is tied to the Ft rate (controlled by the government), poses a risk, especially with the PPA for SPP1 expiring in October. On the positive side, the company holds hidden value in its 25% stake in Araya, estimated at Bt0.3-0.6 per share. We've lowered our target price (TP) by 27% to Bt6.8 and downgraded ROJNA to a NEUTRAL rating.

• SHR (Buy, TP25F-2.9): We maintain a BUY rating for SHR with a target price of Bt2.90. This would be underpinned by (i) continued strong operations, given 9% yoy RevPAR growth in YTD-25 and projected high single digit RevPAR growth in 1Q25F driven by Thailand and Outrigger properties; (ii) SHR is entering a high-growth phase, with expected double-digit profit growth in FY25F. (iii) Despite market concerns about reduced Chinese tourists impacting Thai tourism and the resulting SHR stock correction, we expect minimal impact due to diversify locations and customers, Thailand contributes ~18%, and Chinese tourists <3% to revenue. Therefore, SHR's FY25F valuation is attractive at 16x PER and 0.4x P/BV.

• Healthcare (Bullish): เรามอง Neutral ต่อประเด็นบอร์ดประกันสังคมปรับ 3 โรคที่ไม่เร่งด่วนต้องทำหัตถการใน 15 วันกลับสู่ระบบรักษาตามสิทธิ ส่วนหัตถการโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองขยายระยะเวลาสิ้นสุดเดือน ธ.ค.25 เนื่องจากมองเป็นการบริหารงบประมาณสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) และการปรับ 3 โรคเป็นรักษาตามสิทธิ จะมีผลกระทบน้อยต่อ BCH และ CHG ขณะเดียวกันการเพิ่มสิทธิรักษามะเร็งนอกเหนือ รพ.ตามสิทธิ มองเป็นโอกาสเพิ่มรายได้ประกันสังคม

 


2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ประคับประคอง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย คงประคับ ประคอง แกว่งตัวไปมา ท่ามกลาง บริษัทจดทะเบียนไทย...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้