Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

507

 


"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1212/1227จุด รับ 1195/1187 จุด ทิศทางตลาดเป็นบวก 1) สหรัฐฯยอดจ้างงานนอกภาคเกษตรอยู่ที่ 1.51 แสนตำแหน่ง และต่ำคาดเล็กน้อย ขณะที่อัตราว่างงานขยับขึ้น 4.1% vs prev. 4.0% ลดความกังวลตลาดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนุนจิตวิทยาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก แต่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯไปในทาง Soft Landing เราประเมินมีโอกาสเริ่มทำให้เม็ดเงินลงทุนเริ่มหาโอกาสลงทุนในตลาดที่ยัง Laggard และมีปัจจัยเร่ง ภายใน 2) วันนี้ติดตามการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดพิจารณามาตรการ อาทิ Digital Wallet Ph III, อสังหา และยานยนต์ 3) เม็ดเงินใหม่ภายใน ทั้ง i.) ตลท. เตรียมเปิดโครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทยเน้นลงทุนระยะยาว (TISA) ผ่านการยกเว้นสิทธิ์ภาษีต่างๆ อิงต่างประเทศมักยกเว้นในส่วนภาษีกำไรและเงินปันผล และจะยิ่งสร้างความมั่นคงต่อ SET หากเงื่อนไขรับสิทธิ์ไม่ซับซ้อน และมีกลไกส่งเสริมเม็ดเงินอยู่ในตลาดในระยะยาว ii.) รัฐฯ เตรียมออกมาตรการนาทีทอง ThaiESG เพิ่มวงเงินลดหย่อนพิเศษอีก 3 แสนบาท รวมฐานปกติจะสูง 6 แสนบาท ประเมินหุ้นเด่น Domestic ที่มีปัจจัยเร่งในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้แนะนำ CPALL, AP, WHA

 


Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1212/1227 จุด รับ 1195/1187 จุด

What happened around the world?

(*/+)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวันศุกร์ผันผวนสูง ช่วงต้นปรับลงรับข่าว ทรัมป์" เตรียมพิจารณามาตรการเพิ่มแรงกดดันรัสเซีย แต่ช่วงหลังปรับขึ้นรับประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) Powell ออกมายืนยันว่าเศรษฐกิจของประเทศยังคงแข็งแกร่งและอยู่ในสภาวะปกติ อิง Dow jones 0.52%d-d, ดัชนี Nasdaq 0.7%d-d, S&P500 0.55% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นเด่นๆ คือ Utilities, Energy, IT, Industrials ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆคือ Consumer staples, Financials, Consumer discretionary หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Broadcom +8.6% บริษัทคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ด้านโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI) , NVIDIA +1.92% เป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นฝั่งเอเซียเหนือ และหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย อาทิ DELTA, HANA, KCE , MicroStrategy -5.67% รับราคาเหรียญ Bitcoin ปรับลงมาบริเวณ 8.5 หมื่น$, Apple +1.6% Hewlett Packard Enterprise -12% หลังบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลกำไรประจำปีจากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ, Costco - 6% หลังเผยงบต่ำกว่าที่ตลาดคาด เนื่องจากต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น ฯลฯ

(*/-) China CPI : จีนรายงานตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคและผู้ผลิตยังบ่งชี้ภาวะเงินฝืด อิง ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือน ก.พ. พลิกจากบวกในเดือนก่อนมาเป็นติดลบ -0.2%m-m มากกว่าตลาด คาดที่ -0.1% และ พลิกจากบวกเป็น-0.7%y-y (ลดลงต่ำกว่าศูนย์ครั้งแรกในรอบ 13 เดือน ) ส่วนเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) ในเดือนเดียวกัน -2.2%y-y มากกว่าตลาดคาด ที่ -2.0% KSS ประเมินสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อติดลบเนื่องจากเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ราคาเพิ่มขึ้นเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติในปี 2025 ปีนี้ตรุษจีน คือช่วง 28 ม.ค. ถึง 4 ก.พ. หากอิงกาประชุม NPC กลางสัปดาห์ก่อน รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2025 ไว้ต่ำที่สุดในรอบกว่า 20 ปี ที่ประมาณ 2% (ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ 3%) สะท้อนภาวะเงินฝืด ทำให้มีมุมมองว่าธนาคารกลางจีนและจีนมีโอกาสจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินและการคลังเพื่อให้ปีนี้จีนหลุดจากภาวะเงินฝืด มอง ผลต่อ China play ในทางบวกเฉพาะระยะกลาง - ยาว อาทิ IVL, SCGP, SCC

(*) China Trade : ยอดส่งออกจีน เดือน ม.ค. - ก.พ. +2.3%y-y ต่ำกว่าตลาดคาด 5.0% y-y prev. +10.7%y-y ประเทศที่จีนส่งออกโต หลักๆคือ ประเทศที่โตเด่นๆ คือ ไต้หวัน +8.2% ฮ่องกง +6.9% สหรัฐ +2.9% ประเทศที่หดตัว คือ เกาหลีใต้ -2.7% ส่วนยอดนำเข้าในช่วงเดือนเดียวกัน -8.4%y-y (ติดลบมากที่สุดในรอบ 28 เดือน) โดยรวม KSS ประเมิน แนวโน้มการค้าจีน เดือน มี.ค. จะฟื้นตัว จากฐานต่ำและการกลับมาผลิตหลังตรุษจีน มุมมองบวกต่อตลาดหุ้นจีน และฮ่องกง ในระยะกลาง -ยาว โดยให้ น้ำหนักการลงทุน คือ "Slightly Overweight

(*) US Labour : ตัวเลขภาคการจ้างงานสหรัฐฯ ก.พ. 25 1) ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.พ. 25 อยู่ที่ 1.51 แสนราย ใกล้เคียงตลาดคาด ที่ 1.59 แสนตำแหน่ง vs prev. 1.43 แสนตำแหน่ง 2) อัตราว่างงาน ก.พ. 25 เพิ่มเล็กน้อยมาที่ 4.1% สูงกว่าตลาดคาด 4.0% ทรงตัวจาก prev. 3.) อัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าแรงรายชั่วโมงอยู่ที่ +0.3%m-m, +4.0%y-y ใกล้เคียงคาด(Inline) KSS ประเมินตัวเลขแรงงานดังกล่าว ยังบ่งชี้ภาพ Soft Landing ของสหรัฐฯ

(*/-) US Tension : ปลายสัปดาห์ทรัมป์" ประกาศเตรียมพิจารณามาตรการเพิ่มแรงกดดันรัสเซีย เพื่อในการเจรจาสันติภาพ 1.)คว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยวางแผนจะพุ่งไปที่ Sector ธนาคาร และอื่นๆ 2.)เตรียมเก็บภาษีศุลกากร(Tariff) ส่วนฝั่งรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ประกาศว่าพร้อมเจรจาสงบศึกชั่วคราวในยูเครน KSS ประเมินเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง และราคาโภคภัณฑ์

(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ US Tariffs: ติดตามท่าทีนโยบายกีดกันการค้า 12 มี.ค. เงินเฟ้อ CPI ทั่วไป ก.พ. 25 ไม่มีคาด y-y คาด +3.0%y-y, +0.3%m-m vs prev. +3.0%y-y, +0.5%m-m 14 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan) มี.ค. 25 (ครั้งแรก) ตลาดคาด 65.0 จุด ดีขึ้นจาก prev. 64.7 จุด ฝั่งจีน การประชุม Two-session ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนถึง 11 มี.ค.

(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields พลิกลง อายุ 2 ปี +3 bps bps มาที่ 3.999% (โซนแนวต้านทางจิตวิทยาคือ 4.0%) และอายุ 10 ปี +2 bps อยู่ที่ 4.304% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต และกลุ่มธนาคาร แต่ระยะกลาง - ยาว ประเมินแนวโน้ม Bond yields ยังเป็นขาลง มองบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง MINT ,CPAXT ในส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่ามาบริเวณ 103.81 จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียแข็งค่า) เป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย

(*)Oil: วันศุกร์น้ำมันดิบฟื้นตัว Brent +1.3%d-d ปิดที่ USD 70.36/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.02%d-d ปิดที่ USD 67.04/barrel แรงหนุนมาจากข่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่จะคว่ำบาตรรัสเซีย หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครน แต่เช้าวันนี้เปิดตลาด กลับมาพักตัวลงเฉลี่ย -0.3% ประเมินราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวนในช่วงสั้นจากปัจจัยมหภาพ

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET: SET Index +12.48 จุด +1.05% ปิด 1202 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIPs แรงหนุหลักคาดมาจากประเด็น ปธ.บอร์ดตลท.สั่งเร่งทุกแผน ยกร่าง พ.ร.ก.ปฏิรูปกม.-ผุดโครงการออมหุ้น สร้างความคาดหวังเชิงบวกเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้นไทย หุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีคือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, KCE, CCET) กลุ่มพลังงาน (PTTEP) กลุ่มค้าปลีก (CRC) ส่วนใหญ่เป็นการดึงหุ้นที่ปรับฐานลึกให้รีบาวน์ขึ้นมา ส่วนกลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่มขนส่ง (AOT) แรงกดดันหลักยังมาจากความกังวลลูกค้าหลัก King Power กลุ่มธนาคาร (KBANK , KKP) ประเมินแรงขายเปลี่ยนกลุ่มจากหุ้นที่ Outperform ไป Underperform กลุ่มสื่อสาร (JTS) เก็งตามราคา Bitcoin

(-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ซื้อหุ้น +41.9 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +189 ล้านเหรียญฯ Net LongTFEX ที่ 8,604 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวทรงตัวบริเวณ 33.7 +/- บาท

(*) TH Inflation: กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เดือน ก.พ. ปรับตัวลงสู่ระดับ 1.08% จาก 1.32% ในเดือน ม.ค. แต่ต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 1.1% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ปรับขึ้นสู่ระดับ 0.99% จาก 0.83% ในเดือน ม.ค. และสูงกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 0.89%

เรามีมุมมองเป็นกลางถึงบวกเพราะ Headline CPI เป็น Indicator ที่แบงก์ชาติใช้พิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายการลดลงของ Headline CPI สะท้อนแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ลดลงเปิดทางให้แบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้ เป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, JMT) และ กลุ่มที่มีภาระหนี้สูง เช่น MINT CPALL และ CPAXT ส่วน Core CPI แม้จะปรับขึ้นแต่ไม่น่ากังวลเพราะตัวเลขยังต่ำมาก ตรงกันข้ามกลับเป็นสัญญาณบวกบ่งชี้ถึงกิจกรรมเศรษฐกิจที่ทยอยดีขึ้นผู้ประกอบการสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ เป็นจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC, HMPRO

(*/+) TH Tourism: ประเทศไทยคว้ารางวัลใหญ่ เมืองเก่าน่าน จังหวัดน่าน และเชียงคาน จังหวัดเลย 2 เมืองน่าเที่ยว คว้า Green Destination Awards ในงาน ITB Berlin 2025 ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นบริการ กลุ่มท่อเงที่ยว เน้น MINT SHR ERW การบิน เน้น BA ค้าปลีก เน้น CPALL

(++) SET Stimulus Policy: ตลท. อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการฟื้นคืนความเชื่อมั่นตลาดทุน ส่วนทีน่าสนใจ มีดังนี้

เตรียมเปิดโครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทยเน้นลงทุนระยะยาว "TISA" หรือ Thailand Individual Saving Account เป็นโมเดลจาก NISA Nippon Individual Savings Account ซึ่งเป็นโมเดลของประเทศญี่ปุ่นที่ตลาดได้เข้าไปศึกษาดูงานมา เน้นเก็บออม และยกเว้นสิทธิทางภาษี โดยอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ก.ล.ต. และ CMDF ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ TISA เป็นมาตรการให้คนไทยซื้อหุ้นไทยได้โดยตรง ถือหุ้นตามระยะเวลาที่กำหนด สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้โดยไม่ต้องผ่านกองทุนหรือผู้จัดการกองทุนเหมือนกับกองทุน LTF, RMF และ THAIESG หากได้รับการอนุมัติจากภาครัฐมาตรการนี้จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินใหม่ (New Money) ให้กับตลาดเพิ่ม upside กับ SET Index ในอนาคต เนื่องจาก TISA ใช้หลักคิดเดียวกับ NISA (Nippon Individual Saving Account) ของญี่ปุ่นที่เริ่มดำเนินการเพื่อส่งเสริมการออมตั้งแต่ปี 2014 จากผลศึกษาเพิ่มว่ามูลค่าเงินลงทุนในบัญชี NISA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 6.4 ล้านล้านเยนในปี 2015 (1.1% และ 1.83% ของมูลค่าตลาด TOPIX และ NIKKEI) ปรับขึ้นเป็น 21.6 ล้านล้านเยนปี 2020 (3.21% และ 5.47%) และ 45.4 ล้านล้านเยน ในปี 2024 (4.64% และ 6.3%) ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนผ่านการออกพระราชกำหนดฟื้นฟูตลาดทุนไทย (Omnibus Law) เพื่อสนับสนุนแนวทางต่างๆ ดังนี้

2.) จูงใจบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาปกติ หรือ ราคาต่ำบุ๊ค เพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น โดยการให้บริษัทจดทะเบียนเข้ามาสมัคร และมีการเขียนแผนในการเติบโตอย่างไร คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างไร ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากเกิดทำได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นก็จะลดภาษีให้ Dividend ในส่วนนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติม

3.) การซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock Buyback) ของบริษัทจดทะเบียน ที่จะทำให้เงื่อนไขการซื้อหุ้นคืนปลดล็อกจากเดิมที่มีข้อจำกัดกำหนดให้ซื้อหุ้นคืนได้ไม่เกิน 10% ของทุนจดทะเบียน ให้เร็วขึ้น ซึ่งจะมีการแก้ไขกฎหมายบริษัทมหาชน

4.) ปลดล็อกให้บริษัทต่างประเทศที่ลงทุนในไทยเข้าระดมทุนในบ้านเราได้

(*/+) ThaiESG : แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยอาจจะมีมาตรการชั่วคราว เพื่อกระตุ้นให้มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ โดยให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมสำหรับกองทุน Thai ESG ปัจจุบันที่หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 3 แสนบาทต่อปีอยู่แล้ว ซึ่งหากนักลงทุนมีการซื้อหน่วยลงทุน Thai ESG เพิ่มในช่วงเวลาที่กำหนด เบื้องต้นคาดว่าจะให้เวลา 2 เดือน ก็จะหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 3 แสนบาท ทำให้รวมแล้วจะหักลดหย่อนภาษีได้ 6 แสนบาท ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET และหุ้น Big Cap เน้น 10 หุ้น Deep Value ที่เราแนะนำ SCGP, HMPRO, CPALL, MINT, GPSC, BDMS, BBL, KBANK, BH, AOT

(*/+) Government Stimulus: วันนี้ (10 มี.ค.) นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2025 (ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) มีกระแสคาดการณ์ว่าที่ประชุมจะร่วมหารือเกี่ยวกับมาตรการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 หากมีความชัดเจนโดยเฉพาะช่วงเวลาในการแจกเงินจะเป็นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้โดยเฉพาะหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการดังกล่าว อาทิ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME) Top Pick คือ CPALL เป้าหมาย 2025F ที่ 80 บาท นอกจากนี้ แนะนำติดตามมาตรการอื่นๆ ที่อยู่ในกระแสข่าวด้วย อาทิ อสังหา (LTV) บวกต่อหุ้นอสังหา อาทิ AP SIRI ยานยนต์ (บสย. ค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ) บวกต่อหุ้นเน้นสินเชื่อเช่าซื้อ อาทิ TISCO KKP THANI และมาตรการท่องเที่ยว บวกต่อหุ้น MINT ERW

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่

1.) 10 มี.ค. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 คาดพิจารณาโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 สำหรับบุคคลทั่วไปที่ได้ลงทะเบียนแล้ว รวมถึงมาตรการอื่นๆ อาทิ อสังหา (LTV) ยานยนต์ (บสย. ค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ) และท่องเที่ยว

2.) 11 มี.ค. ประชุม ครม. คาดว่าจะการนำเสนอ ร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ติดตามาตรการอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ มาตรการดึง บสย. เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ, มาตรการฝั่งภาคอสังหาฯ และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์

3.) 13 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 59.0 จุด

 

Daily Strategy : CPALL, AP, WHA

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Sideways/Up" ประเมินจิตวิทยาลงทุนวันนี้ค่อนไปทางบวก รายงานจ้างงานสหรัฐฯ เป็นกลาง คลายความกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจ แต่ยังมีประเด็นรบกวนฝั่งความกังวลสงครามการค้า อย่างไรก็ดี ภายในเป็นบวก ทั้งจากรัฐฯเตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ผสาน ความคาดหวังเม็ดเงินใหม่หนุนตลาด ทั้งแนวทางการผลักดันโครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทยเน้นลงทุนระยะยาว "TISA" หรือ Thailand Individual Saving Account เป็นโมเดลจาก NISA Nippon Individual Savings Account ซึ่งเป็นโมเดลของประเทศญี่ปุ่น และมาตรการนาทีทองซื้อกองทุน ThaiESG ลดหย่อนเพิ่มขึ้น โดยรวมภาพภายในที่เป็นบวกเรามองหุ้นเด่น ในส่วน หุ้นเด่น Domestic ที่มีปัจจัยเร่งในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและหุ้น Big Cap 10 Deep Value (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 


Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 


Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategy Update: FTSE Rebalance

FTSE GEIS Semi-Annual Review Update มีผลราคาปิด 21 มี.ค. มีหุ้นไทย เข้า/ออก ดังนี้

Standard index (Large-Mid cap)

เข้า : - ออก : EA, IRPC

Small cap

เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART

ออก : BYD, LPN

Micro cap

เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA

ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART

 

• AMATA (Buy, TP25F-33.5): We're still positive on AMATA's land sales outlook, fueled by trade war and geopolitical tensions. We're keeping our land sales forecast at 2,562 rai for this year, which is above the company's guidance of 2,000+ rai. This is driven by ongoing negotiations with medium- and high-potential customers for over 1,000 rai, plus potential gains from Laos. We're maintaining our 18% core earnings growth forecast for the year. At the last close, the stock's trading at an undemanding valuation of 8.1x PER and 1x PBV for FY25F, meaning we're essentially buying AMATA's land at cost. We maintain a BUY rating on AMATA.

• ITEL (Buy, TP25F-2.04): Reiterate Buy rating but lower TP to Bt2.04 (from Bt2.58) to reflect our EPS downgrade. We revised down our earnings estimate by 28% on average in 2025-26 to incorporate slower improvement in revenues both from data services and network installation. Based on our new forecast, we call for the recovery in the earnings starting from 2025 underpinned by more project bidding. Winning the USO projects (#3) will provide upside risk to our earnings forecast in 2025. Trading at deep discount to BV with turnaround in EPS and ROE makes ITEL cheap.

• CHG (Buy, TP25F-2.52): เรามีมุมมอง Slightly positive ต่อข้อมูลจากการประชุมกับ CHG เนื่องจากเป้าหมายการเติบโตรายได้และ NI margin ปีนี้ของบริษัท ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิของเรามีโอกาสเกิด upside ทั้งนี้ระยะสั้น 1Q25F คาดกำไรสุทธิยังลดลง y-y จากรายได้เติบโตไม่มาก ทำให้ CHG จะเด่นน้อยกว่า BCH ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย PE ปี 25F ที่ 22 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Forward PE

 

2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

รอ เฟด By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ กระทรวงพาณิชย์ ออกมาเปิดเผย CPI เดือน เม.ย. -0.22%YoY จากตลาดคาด -0.1%....

ดันต่อ By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ หุ้นใหญ่ หน้าเดิม ดันSET ฝ่า 1,200 จุด ต่อ การสลับหน้าที่กันไป ห้วงระหว่างอยู่ ผลการ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้