Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

644

 


"Selective Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "พยายามฟื้นตัว" ต้าน 1470/1476 จุด รับ 1453/1443 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้น ดัชนี S&P500 +0.21% หนุนจาก Tesla +22% กำไร 3Q24 ดีกว่าคาด และให้ Outlook ดี อีกด้าน US Bond Yield 10 ปี ที่ เริ่มพักตัว -5 bps สู่ 4.2% แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐบวกอ่อนๆ ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ดีกว่าคาด Flash PMI ภาคผลิตและบริการ ต.ค.24 ดีกว่าคาด แต่เพิ่มจาก prev. เล็กน้อย เรามองบ่งชี้ภาพ Yield สะท้อนความคาดหวังแล้ว น่าจะช่วยคลายบรรยากาศลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงได้บ้าง ขณะที่เอเชียวันนี้ติดตามการประชุมสภาประชาชนวันที่ 2 ส่วนภายใน ไทยเดินหน้าขอขั้นตอนร่วมกลุ่ม BRICS มองมีโอกาสช่วยเปิด Upside การค้าระหว่างประเทศระยะถัดไป ผสาน นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นต่ำสุดใน 4 วัน เช่นเดียวกับกลับมา Net Long TFEX ครั้งแรกใน 4 วันเช่นกัน สะท้อนภาพการปรับสถานะ Bond Yield ที่เร่งในช่วงปลาย หุ้นนำวันนี้ China Plays กลุ่มส่งออก (อาหาร, ชิ้นส่วน) หุ้น Domestic ภาคบริการ อิงโครงการ Entertainment Complex เตรียมเข้า ครม. ปีนี้ และกลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะดี วันนี้แนะ ADVANC, IVL, SAWAD

 


Daily outlook: "พยายามฟื้นตัว" ต้าน 1470/1476 จุด รับ 1453/1443 จุด

What happened around the world ?

(*)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี S&P500 +0.21%, Nasdaq +0.75% แต่ Dow jones ปรับลดลง 4 วันติด -0.33% โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นมีเพียง กลุ่ม Consumer discretionary, ICT, Real estate, IT, Financials Sector ปรับลงหลักๆคือ Materials, Utilities, Industrials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ Boeing -1.2% รับข่าวช่างเครื่องบินของบริษัทลงมติคัดค้านข้อตกลงฉบับใหม่ที่บริษัทเสนอให้ปรับขึ้นเงินเดือน 35% ในระยะเวลา 4 ปี และได้ขยายเวลางประท้วงออกไป, IBM -6.17% รับรายงานรายได้ 3Q24 ต่ำกว่าคาด จากธุรกิจ Consult ลดลงแต่ รายได้จาก Cloding Software เร่งขึ้น) ฯลฯ

(-)US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนออกมาแข็งแกร่งในทางเดียวกันย้ำภาพ Soft landing 1.)ยอดขายบ้านใหม่ เดือน ก.ย.พลิกบวกอีกครั้ง +4.1%m-m อยู่ที่ 7.38 แสนหลัง ดีกว่าตลาดคาด 7.13 แสนหลัง vs prev. 7.16 แสนหลัง 2.) S&P Flash PMI ภาคผลิต ต.ค.กลับมาเร่งขึ้นอยู่ที่ 47.8 จุดดีกว่าตลาดคาด 47.5 จุด prev. 47.3 จุด สอดคล้องกับ PMI ภาคบริการในเดือนเดียวกันอยู่ที่ 55.3 จุด prev. 55.2 จุด 3.) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Initial Jobless Claims) -1.5 หมื่นรายจากสัปดาห์ก่อน อยู่ที่ 2.27 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดคาด และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.3 แสนราย(อิง MUFG ทำการศึกษา initial jobless claims ที่เพิ่มขึ้นเกิน 5 หมื่นราย มักเป็นสัญญาณของเศรษกิจถดถอย และจากการศึกษาความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)

(-)EU Econ : ดัชนี Flash PMI ยุโรป ต.ค. ภาคผลิต เร่งขึ้นมาอยู่ที่ 45.9 จุด ดีกว่าตลาดคาด 45.3 จุด vs prev. 45.0 จุด (แต่ยังต่ำ < 50 จุดสะท้อนภาคการผลิตยุโรปหดตัว) ส่วน PMI ภาคบริการ ในเดือนเดียวกัน ลดลงมาอยู่ที่ 51.2 จุด ต่ำคาดเล็กน้อย (> 50 จุดสะท้อนภาคการผลิตยุโรปขยายตัว) prev. 51.4 จุด สอดคล้องกับ IMF ปรับลด GDP Growth ปี 2024-2025 ลด -0.1% และ -0.3% เหลือ 0.8% และ 1.2% ทำให้ KSS ยังคงมอง ECB ยังมีความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต่อ โดยในปีนี้ปรับลดลงรวม 3 ครั้ง สู่ระดับ 3.4% โดยรวมมองบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจในยุโรป เน้น MINT. IVL

(*/+) Chip stocks SK Hynix เกาหลีใต้ 1 ในบริษัทผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็น Supplier ให้กับ Nvidia เผย กำไร 3Q24 อยู่ที่ 1.27 หมื่นล้าน$ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของชิปหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง (HBM) เป็นจิตวิทยาบวกหนุนคาดการณ์งบกลุ่มชิ้นส่วนในไทยคาดจะออกมาดีตาม มองหุ้นชิ้นส่วนไทย อาทิ DELTA, KCE, HANA ,CCET

(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลง 13 สัปดาห์ติดสัปดาห์ล่าสุด -4%w-w อยู่ที่ 3095 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเครียดในตะวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน

(*) To monitor : ฝั่งจีน วันนี้ติดตามการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) มีโอกาสเห็นความชัดเจนเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม China Play เน้น IVL,PTTGC, SCGP, HANA ฝั่งสหรัฐ ติดตาม 25 ต.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่น ม มิชิแกน ต.ค. คาด 69.5 vs prev. 68.9 และยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน ก.ย. คาด -1%m-m vs prev. +0%m-m

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแกว่งตัว อายุ 2 ปี ปรับขึ้น +1 bps อยู่ที่ 4.08% ทำจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือน แต่อายุ 10 ปี ปรับลงแรง -5 bps อยู่ที่ 4.20% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มหนี้สูง CPAXT ส่วน Dollar Index ชะลอการแข็งค่าลงมาอยู่ที่ 103.8 จุด (ผลจากค่าเงินยูโรระยะสั้นแข็งค่า หลัง PMI ยุโรปออกมาต่ำคาด) ประเมินเป็นปัจจัยทำให้ค่าเงินในฝั่งเอเชียชะลอการอ่อนค่าในทางเดียวกัน เป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow

(*/-)Oil: น้ำมันดิบระหว่างวันผันผวนสูง ปิดลบเล็กน้อยแต่ลงเป็นวันที่ 2 อิง Brent -0.53%d-d ปิดที่ US$ 74.5/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.5%d-d ปิดที่ US$ 70.5/barrel แรงกดดันมาจากประเด็นเดิม 1.) Supply ในฝั่งสหรัฐเพิ่มขึ้น EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบพลิกเพิ่มขึ้น 5.5 ล้านบาร์เรลมากกว่า ตลาดคาด 8 แสนบาร์เรล ระยะสั้นน้ำมันมีปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดจากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ้มที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ กลุ่มสายการบิน BA, AAV และบวกต่อกลุ่ม Anticommodity อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้าเน้น GULF, GPSC กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC, TASCO

(*/+) Natural Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX ในสหรัฐ +7.69%d-d ปิดที่ USD2.522/MMBtu ระยะสั้นปรับขึ้นต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ แรงหนุนระยะสั้นมาจากฟิวเจอร์สก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2.4 ดอลลาร์/MMBtu ซึ่งสูงที่สุดในหนึ่งสัปดาห์ คาดการณ์สภาพอากาศในสหรัฐที่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวจะเย็นขึ้น หนุน Demand เครื่องทําความร้อนเพิ่มขึ้นในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ผสานแนวโน้มราคาก๊าซทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นทำให้ตลาดคาดว่าจะกระตุ้นการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สหรัฐ เพิ่ม โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้น BANPU (รายได้นอกจากถ่านหินมาจากก๊าซธรรมชาติ) แต่ในทางตรงข้ามจะเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า

 

What happened in Thailand ?

(-) SET : SET ปรับตัวลดลง -9.68 จุด หรือปิด -0.66% เป็นการปรับลงต่อเนื่อง 3 วันทำการตามแรงกดดัน US Bond Yield 10 ปี ที่เร่งขึ้น จากความเห็นกรรมการ Fed ที่ให้ความเห็นระมัดระวังขึ้น หลังรายงานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ผสาน คะแนนเสียงคุณ Trump ตีตื้นคุณ Harris กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, CRC) กลุ่มพลังงาน (GPSC, BGRIM, PTTEP) ตามแรงกดดัน Yield เร่งขึ้น เงินบาทอ่อนค่าต่อโรงไฟฟ้า ส่วน PTTEP มองเป็นไปตามราคาน้ำมัน กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) มองหุ้นในธีม Infra Tech บวก มีกระแสบวก Nvidia ประกาศลงทุนในไทย ผสาน คาดแรงเก็งกำไรงบ 3Q24F กลุ่มอาหาร (CPF, ITC, AAI) จิตวิทยาบวกเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่เป็นกลุ่มหุ้นส่งออกที่ตลาดคาดหมายจะเห็นการขยายตัวยอดส่งออกสินค้าหลักต่อเนื่อง

(*) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -100.9 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -11.8 ล้านเหรียญฯ TFEX Net long 3,764 สัญญา ล่าสุดเงินบาทเริ่มแข็งค่าเล็กๆสู่ 33.7 +/- บาท

(*/+) Entertainment Complex: รมว. คลัง เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการจัดทำร่างกฎหมาย Entertainment Complex คาดว่าจะสามารถเข้าสู่การพิจารณา ครม. ได้ภายในปีนี้ และหลังจากผ่านความเห็นชอบของ ครม.แล้ว รัฐบาลจะผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ ให้สภาพิจารณาต่อไป ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยการประชุมสามัญอีกครั้งในกลางเดือนธ.ค.67 ถึงเม.ย.ปีหน้า ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมิน โครงการดังกล่าวจะหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นราว 5-20% (ใกล้เคียงผลการศึกษาของเรา ในส่วนกรณีประเทศมาเก๊า และสิงคโปร์ ที่การเปิด Entertainment Complex 1 แห่ง จะหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่มจากฐานก่อนเปิดเฉลี่ย 17% และ 20% ตามลำดับ) นอกจากนี้ คาดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยวแตะระดับ 6.0 หมื่นบาทต่อคน โดยรวมเราคงมุมมองโครงการดังกล่าวเป็นการยกระดับภาคบริการขึ้นจากปัจจุบัน เรามองบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK) ทั้งนี้ หากพิจารณาภาพปัจจัยต่างๆ ในระยะนี้ประกอบด้วย ระยะสั้น เน้น AOT, BTS, BA

(*/+) BRICS: ไทยกำลังยกบทบาทในเวทีโลกเพิ่มขึ้น

1.) เริ่มเดินหน้าเข้าขั้นตอนเป็นสมาชิกลุ่ม BRICS (เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวของสมาชิกประเทศเกิดใหม่ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้) หลังครม.เห็นชอบร่างหนังสือแสเงความประสงค์เข้าร่วมเมื่อ 28 พ.ค. 24 โดยเบื้องต้นจะอยู่สถานะหุ้นส่วนกับอีก 13 ประเทศ

2.) ยื่นเข้าร่วม OECD (องค์รวมเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ภายใน 5ปี โดย ครม.เห็นชอบร่งหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมกลุ่มวันที่ 26 ธ.ค. 23

ทั้งนี้ เราให้น้ำหนักในส่วน BRICS ก่อน เพราะน่าจะเห็นความคืบหน้าเร็วกว่า ขณะที่มองผลบวกต่อภาคส่งออก โดยสัดส่วนยอดส่งออกไทยไปยังกลุ่ม BRICS ปัจจุบันสูงราว 18% ของยอดส่งออกทั้งหมด โดยสินค้าหลักที่กลุ่ม BRICS บริโภค คือ กลุ่มอาหาร กลุ่มชิ้นส่วน และยานยนต์ มองจิตวิทยาบวกต่อโอกาสเห็น Upside ระยะถัดไป กลุ่มอาหาร เน้น CPF กลุ่มชิ้นส่วน เน้น DELTA ส่วนอานิสงส์อื่น คือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

(*/-) TH Tourism: รมว.ท่องเที่ยว เตรียมเสนอ ครม.ภายใน ม.ค. 25 และประกาศบังคับใช้ 6 เดือนจากนั้น เพื่ออนุมัติจัดเก็บภาษีท่องเที่ยว ชื่อใหม่ "ค่าเหยียบแผ่นดิน"ที่จะเรียกเก็บสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย 150-300 บาทต่อคน โดยคาดว่าจะได้เม็ดเงิน 3.6 หมื่นล้านบาท นำเงินเข้ากองทุนดูแลนักท่องเที่ยว มองจิตวิทยาลบเล็กน้อยต่อหุ้นท่องเที่ยว การบิน และภาคบริการ จากความกังวลภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่เรามองกระทบจำกัด หากอิงเม็ดเงินเฉลี่ยนักลงทุนต่างชาติใช้ต่อทริปในปัจจุบัน (YTD 20 ต.ค.) ที่ราว 4.67 หมื่นบาท รายจ่ายดังกล่าวถือเป็นภาระเพิ่มเพียงราว 0.3-0.6% มองระยะสั้นหุ้นที่ปรับฐานลงวานนี้ โดยมีประเด็นดังกล่าวกดดันส่วนหนึ่ง เป็นโอกาสทยอยสะสม เน้น AOT, CPALL

(*) To Monitor: : ปัจจัยภายในวันนี้ (25 ต.ค.) ติดตาม 1.) รายงานกำไร DELTA ตลาดคาด +5%y-y, -13.2%q-q TRUE ตลาดคาดขาดทุนลดลง y-y, q-q ขณะที่ KSS มองกำไรปกติเร่งขึ้นต่อเนื่อง และ 2.) การเปิดตัวโครงการ One Bangkok มองจิตวิทยาบวกหุ้นบริษัทที่เชื่อมโยงกลุ่มทุนเจ้าของโครงการดังกล่าว AWC, BJC

ส่วนสัปดาห์หน้า ติดตาม 1.) 28 ต.ค. ยอดส่งออก - นำเข้า ก.ย. 24 ตลาดคาด +3.0%y-y และ +6.0%y-y vs prev. +7.0%y-y และ +8.9%y-y ตามลำดับ 2.) 29 ต.ค. ประชุม ครม. 3.) 30 ต.ค. ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ก.ย. 24 ตลาดคาด -0.6%y-y vs prev. -1.9% 4.) รายงานกำไร Real Sector หุ้นหลักจะรายงาน ได้แก่ PTTEP (ตลาดคาด -97.1%y-y, -97.8%q-q) HMPRO (ตลาดคาด -5.2%y-y, -10.3%q-q) SCGP(ตลาดคาด -30.5%y-y, -36.7%q-q) SCC (ตลาดคาด -66.8%y-y, -78.1%q-q) ADVANC (ตลาดคาด 4.3%y-y, -1.0%q-q)

 



Daily Strategy : ADVANC, IVL, SAWAD เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "พยายามฟื้นตัว" เรามองสัญญาณการปรับสถานะในตลาดการเงินต่อภาพ US Bond Yield ที่เร่งขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้เป็นช่วงปลายแล้ว เชื่อว่าสินทรัพย์เสี่ยงโลกระยะถัดไปจะมีแรงหนุนไปตามวงจรเดิม คือ ภาพใหญ่ดอกเบี้ยที่เป็นขาลง และเคลื่อนไหวไปตามภาพเศรษฐกิจรายประเทศ เอเชียวันนี้จับตาประชุมสภาประชาชนวันสุดท้าย ส่วนภายใน ลุ้น Upside เศรษฐกิจระยะกลางเพิ่มเติม จากการเข้าเป็นหุ้นส่วนกลุ่ม BRICS และการเดินหน้าโครงการ Entertainment Complex ภาพรวมแล้วหนุนวันนี้เรามองหุ้นเด่น คือ China Plays กลุ่มส่งออก (อาหาร, ชิ้นส่วน) หุ้น Domestic ภาคบริการ อิงโครงการ Entertainment Complex เตรียมเข้า ครม. ปีนี้ และกลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะดี

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อความเสี่ยงผลการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ (KTB, GPSC, GULF, ADVANC, CPALL, BDMS, WHA)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, GLOBAL, AOT, AAV, SCGP)
กลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะออกมาดี (IVL, ADVANC, CPALL, TRUE และ MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)

• OCT24 Best Picks: ADVANC, CPALL, MTC, GPSC, BJC, AOT, IVL

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election 2024 and Global Market Impact

ทีมกลยุทธ์ออกรายงานกลยุทธ์ลงทุนก่อนเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ ระยะสั้นเรามองสินทรัพย์เสี่ยงก่อนการเลือกตั้ง 1-2 สัปดาห์ น่าจะแกว่งออกข้างเป็นหลัก รอความชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง นักลงทุนควรเตรียมตัวปรับพอร์ตตามสถานะการณ์ดังที่ KSS ประเมินไว้ 4 กรณี ในระยะนี้ เบื้องต้น KSS คงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index หลังเลือกตั้ง น่าจะตอบรับช่วง Honeymoon Period รับผล US Election ไปก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า แนะนำ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)

 

KSS ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 กรณี

1) กรณี Red Wave (พรรค Republican ครองสภาบนและสภาล่าง)

• มองแนวนโยบาย American First อาทิ การลดภาษีนิติบุคคล และการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้า จะส่งผลบวกต่อการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากสมมติฐานหลัก ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่ลดระดับช้าลง กระทบวงจรดอกเบี้ยขาลงที่น่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิม

• กรณีนี้สร้างความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลกในช่วงปลายปี 2024 - ต้นปี 2025 โดย EM Assets จะผันผวนจาก Dollar Index ที่พลิกแข็งค่าขึ้นไว แต่อย่างไรก็ดี KSS ประเมินกลุ่ม TIPs จะผันผวนน้อยกว่า จากตลาดหุ้นกลุ่มนี้ มีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 10% น้อยกว่า EM อื่นๆ ผสานนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งยัง Laggard ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเร่งขึ้น

• ทางเลือกการลงทุนหุ้น คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคมและกลุ่มส่งออกอาหาร รวมถึงหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร

• ทั้งนี้ เรามอง Red Wave จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อจากสงครามการค้า และส่งผลเชิงลบต่อการลงทุนในตราสารหนี้ ในระยะสั้น-กลาง

2) กรณี Blue Wave (พรรค Democrat ครองสภาบนและสภาล่าง)

• นโยบายที่ตรงข้ามกับ Republican อาทิ ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและบริษัทเป็นปกติที่ 28% (เดิม 21%) ผสาน การผลักดันนโยบาย Green Energy และรวมถึงใช้มาตรการกีดกันทางการค้าระดับใกล้เคียงปัจจุบัน จะช่วยให้ภาพวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาลงเดินหน้าต่อ Dollar จะอ่อนค่า

• เร่งปรากฏการณ์ Search for Yield หนุน Fund Flow มายัง EM Asia รวมถึงไทยต่อเนื่อง หุ้นอิง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)

• นอกจากนี้ ภาพ Blue Wave ยังเป็นบวกต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารหนี้โลก

3) กรณี Republican President + Democratic Congress :

• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Republican ที่จะถูกผลักดันจำกัดกว่ากรณี Red Wave ทั้งนี้ ในกรณีนี้เรามองค่อนข้างบวกต่อหุ้นสหรัฐ เนื่องจากทิศทางหลักเป็นนโยบายลักษณะ American First และการลดภาษี แม้จะทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับกรณี Red Wave

• ตลาดหุ้นอื่นๆ จะเริ่มผันผวนต้นปี 2025 แต่ภาพ EM Asia จะผันผวนน้อยกว่ากรณี Red Wave โดยเฉพาะ TIPs ที่มีการปรับโครงสร้างการค้า และภาคการผลิตมาตั้งแต่ปี 2018-ปัจจุบัน และตลาดหุ้น TIPs ยังมีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากสหรัฐฯและจีนต่ำ

• แนะนำ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคม หุ้นส่งออกอาหาร และหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร

• ในกรณีนี้เรามองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะยังแกว่งตัวในกรอบ โดยมีโอกาสปรับขึ้นก่อนแกว่งตัวลง ให้รอจังหวะ ก่อนลงทุนรับวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยโลกขาลงแบบค่อยเป็นค่อยไปหลังจากนั้น มองเป็นกลางถึงบวกอ่อนๆต่อการลงทุนในพันธบัตร

4) กรณี Democratic President + Republican Congress :

• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Democrat จะถูกคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาบน ที่มาจากขั้วตรงข้าม ส่งผลให้การผลักดันนโยบายเป็นไปได้อย่างจำกัดใน กรณีนี้เรามองเป็นกลางต่อหุ้นสหรัฐ แต่ Upside จำกัดจากระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความเสี่ยงเศรษฐกิจอ่อนลงที่รออยู่

• มอง Fund Flow จะทยอยไหลเข้า EM Asia รายประเทศ ขึ้นกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในกรณีนี้เรามองหุ้นไทยยังมีโอกาส "outperform" ได้ แต่จะต้อง Selective ตามปัจจัยกระทบที่ค่อนข้างสูง

• หุ้นเด่นเรามอง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)

• Strategy Update : 3Q24F Earnings Plays

ช่วงต้นเดือน ต.ค. - กลางเดือน พ.ย.2024 เป็นช่วงรายงานผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนไทยงวด 3Q24 หลังจากผ่านช่วงรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารแล้ว จะเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบฝั่ง Real Sector โดยก่อนรายงานมักมีกระแสการเก็งกำไรเข้าซื้อในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี เติบโต y-y, q-q หรือ หุ้นที่มีสัญญาณผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด (เริ่มฟื้นตัว q-q)

ทีมกลยุทธ์ KSS รวบรวมข้อมูลคาดการณ์งบงวด 3Q24 ทีมีการประมาณการณ์ อิงจาก Bloomberg รวมทั้งหมด 96 บริษัท เพื่อค้นหาหุ้นที่มีความน่าสนใจต่อการเข้าเก็งกำไร

กลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่คาดจะรายงานงบ 3Q2024 ออกมาเด่น y-y , q-q และอยู่ในธีมหลักในการลงทุนที่ เรามองจะเด่นในปัจจุบัน ประกอบด้วย

o หุ้น China play IVL, AU

o หุ้นกลุ่มวงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงหนุน TRUE, MTC, GPSC, ADVANC, CPALL, CPF

o หุ้นได้ประโยชน์ธีม US Election หรือ ทนต่อความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากผลการเลือกตั้ง AMATA, WHA, BDMS

o หุ้น Mid small -Cap เน้น MOSHI

〽️Best Picks : เราเลือกหุ้นเด่น 5 บริษัทใน Theme 3Q24F Earnings Plays คือ IVL, ADVANC, CPALL, TRUE และ MOSHI

Strategy: ในระยะนี้ ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า ให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election หุ้นได้ประโยชน์การเลือกตั้ง + กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ผสาน หุ้น Domestic ที่หลบเลี่ยงผลกระทบได้ดี ดังนี้ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)

 

• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

 

 

• AMATA (Buy, TP-29): Land sales 957 rai in 3Q24, hit new high since 1Q13, take 9M24 land sales to 2,018 rai, +68% yoy, above our FY24F. It raises FY24 target land sales to 2,500 rai backed by big lot from hyper data center. We will revisit our forecast. Based on latest guidance, we raise IE profit, but cut power profit resulting in maintain core profit at Bt816m for 3Q24F, jumping 49% yoy and 146% qoq. That would take 9M24F core profit to Bt1.5b, rising 11% yoy to 63% of our FY24F earnings. Profit should improve qoq in 4Q backed by stronger IE and power operations. Maintain BUY rating for AMATA.

• SAWAD(Neutral, TP-42): เรามีมุมมอง slightly positive ต่อผลประกอบการ 3Q24 จากคาดขาดทุนรถยึดลดลง q-q สำหรับกำไรสุทธิ 3Q24F คาดที่ 1,280 ลบ. ลดลง -8% y-y เพิ่มขึ้น +1% ตามทิศทางของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ทั้งนี้เราปรับกำไรสุทธิ 2025-26F ขึ้นปีละ +(6-10)% เพราะ i) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ คาดช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ii) ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง ส่งผลต่อ TP25F ปรับขึ้นเป็น 42 บ. และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น NEUTRAL เรามองบวกกับ SAWAD มากขึ้น เพราะ i) คาดเห็นขาดทุนรถยึดลดลง q-q ii) กำไรสุทธิ 2025F คาดกลับมาเติบโต +10% y-y iii) มีประเด็นเชิงบวก ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ และทิศทางดอกเบี้ยขาลง

• MINT (Buy, TP-38): We expect MINT to report 3Q24F core profit with yoy growth but a drop qoq due to strong performance in Europe and Thailand, 9M24F earnings accounting for 71% of our forecast. We expect 4Q24F to continue to grow yoy but decline qoq (due to seasonal) from hotel unit still growing in Thailand and Europe, and a recovery in Australia and the Maldives well as expect more loan repayments. We rating "Buy" on MINT with a target price of THB 38 (DCF) with a growing earnings outlook and an attractive share value of 18x P/E 2025F, which is lower than peers.

• PLANB (Buy, TP-9.35): เรามอง Slightly Negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q24F ที่ 268 ลบ. (+3% y-y +1% q-q) เติบโตเพียงเล็กน้อย แม้จะมีรายได้จากการบริหารสิทธิ์ Olympic เข้ามาช่วนหนุน เราปรับกำไรปี 25F-26F ลง (-7-13%) สะท้อนธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมรายได้ลดลงจาก PLANB ยังไม่ได้สิทธิ์กีฬาใหม่มาทดแทน Olympic ปรับราคาเป้าหมาย (TP25F) ลงเป็น 9.35 บาท (เดิม 10.60 บาท) แต่เรายังคงคำแนะนำ Buy คาดกำไร 4Q24F กลับมาโตเด่นตามฤดูกาล และเชื่อว่าราคาหุ้น PLANB ซื้อขายที่ P/E'25F -1.5SD สะท้อนปัจจัยลบข้างต้นแล้ว

 


4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO


Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้