ถ้าการเมืองไม่สะดุด .. SET น่าจะดูดีขึ้น
หากไม่รวมปัจจัยเรื่องการเมื่อง ซึ่งในวันที่ 7 และ 14 ส.ค.67 จะมีผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีสำคัญออกมา ซึ่งอาจมีกรณีที่กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล เรามองว่าปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวกขึ้นมา เริ่มจาก FUND FLOW จากนักลงทุนต่างชาติที่ในช่วงเดือนก.ค.เห็นแรงซื้อกลับเข้ามาที่ตลาดตราสารหนี้, เกิด NET BUY ในส่วนของ NVDR , มีการเปิด LONG สุทธิใน FUTURE ส่วนตลาดหุ้นพบว่าการขายสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเด็นถัดมาเป็นเรื่องของ TESGVERSION ใหม่ ที่คาดว่าจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในวันนี้(30 ก.ค.67) ซึ่งน่าจะทำให้เห็นกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนผลประกอบการ 2Q67 ที่ประกาศออกมาแล้วพบว่ามีPOSITIVE SURPRISE โดยภาพรวมเริ่มเห็นสัญญาณบวกในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งน่าจะเป็นองค์ประกอบทำให้ DOWNSIDE จำกัด วันนี้คาด SET INDEX อยู่ในกรอบ 1298 –1316 จุด หุ้น TOP PICK เลือก IVL, KBANK และ PLANB
คลังมองบวกเศรษฐกิจไทยปีนี้ ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP 2.7%
ศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง เผยรายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ณเดือน ก.ค.67 โดยได้มีการปรับคาดการณ์ GDP GROWTH ไทย เพิ่มขึ้นเป็น +2.7%(เดิมคาด +2.4% ณ เดือน เม.ย.67) ยังไม่รวมโครงการ DIGITAL WALLETสำหรับแรงหนุนหลักๆ มาจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 36 ล้านคน (เดิมคาด 35.7 ล้านคน) ขณะที่สถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 21 ก.ค. 67 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทะลุ19 ล้านคนแล้ว และน่าจะมีความคึกคักมากขึ้นใน 2H67 ซึ่งเป็นช่วง HIGH SEASONนอกจากนี้ ยังประเมินว่าจะมีแรงผลักภาคการส่งออกที่ส่งสัญญาณดีขึ้น มองขยายตัวได้ 2.7% (เดิมคาด 2.3%) จาก DEMAND ประเทศคู่ค้าขยายตัว
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วง 2H67 มีแนวโน้มขยายตัวได้สูงขึ้น และมีโอกาสที่GDP GROWTH แตะ +3% สะท้อนกระทรวงการคลังมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อ
เศรษฐกิจไทย สอดคล้องกับ IMF ที่ได้ปรับคาดการณ์ GDP GROWTH ไทย เมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค. 67 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น +2.9% (เดิมคาด +2.7%)
สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวเด่นโดยเฉพาะช่วง 2H67 จากแรงหนุนเพิ่มเติมในภาคท่องเที่ยวและส่งออก แต่ในอีกแง่มุมอาจเป็นเหตุผลหนุนให้
ดอกเบี้ยบ้านเรายังไม่เริ่มลดในปีนี้ช่วงครึ่งหลังของปี เห็นต่างชาติกลับมาลงทุนในไทยเด่นชัดขึ้นเริ่มต้นช่วงครึ่งหลังของปี หรือเดือน ก.ค. 67 (MTD) เห็นต่างชาติกลับมาลงทุนในไทยเด่นชัดขึ้น ดังนี้
▪ ต่างชาติ LONG สุทธิสัญญา SET50 FUTURES ในเดือน ก.ค. สูงถึง115,293 สัญญา จนหนุนให้แรง SHORT สุทธิช่วง 1H67 ที่ -99,984สัญญา หายไป จนพลิกกลับมาเป็น LONG สุทธิ 15,309 สัญญา (YTD)
▪ ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยผ่าน NVDR อย่างโดดเด่น ในเดือน ก.ค. สูงถึง 13,093 ล้านบาท จนหนุนให้แรงขายสุทธิช่วง 1H67 ที่ -12,125 ล้านบาทหายไป จนพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิ 968 ล้านบาท (YTD)
▪ ต่างชาติกลับมาซื้อตราสารหนี้ไทย ในเดือน ก.ค. สูงถึง 18,022 ล้านบาทหนุนให้แรงขายสุทธิช่วง 1H67 ที่ -29,661 ล้านบาท ลดลงเหลือขายสุทธิ11,639 ล้านบาท (YTD)
▪ ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยในเดือน ก.ค. น้อยลงเหลือเพียง -2,154 ล้านบาทแตกต่างแรงขายสุทธิช่วง 1H67 ที่ -117,031 ล้านบาท (เฉลี่ยขายสุทธิเกือบ-2 หมื่นล้านบาทต่อเดือน)
และในมุมมองของฝ่ายวิจัยฯ ยังมี 3 องค์ประกอบหลักๆ ช่วยหนุนให้ต่างชาติมีโอกาสกลับมาซื้อหุ้นไทยมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี คือ
1. การก้าวสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของ FED ECB BOE เร็วกว่า BOT หนุนให้ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าในช่วงครึ่งหลังของปี และจูงใจให้ต่างชาติมีโอกาสเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
2. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัว โดยคลังเพิ่มคาดการ GDP ปี 2567เติบโตจาก 2.4% เป็น 2.7% (IMF เพิ่มคาด GDP ปี 2567 เติบโตจาก 2.7%เป็น 2.9% ) แต่เศรษฐกิจโลกเริ่มทรงๆ (IMF คาด GDP ปี 2567 เติบโต 1.7%)และอาจชะลอลงหลังเห็นธนาคารต่างๆ เริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย
3. ทางตลาดหลักทรัพย์ ออกมาตการต่างๆ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่อเนื่อง โดยเริ่มจากใช้กฎ UPTICK ในเดือน ก.ค. ส่งผลให้สัดส่วนปริมาณการ SHORT SELL ลดลงเหลือ 4.51% ของปริมาณซื้อขายทั้งหมด (จากช่วง1H67 มีสัดส่วน SHORT SELL 11%) นอกจากนี้ทางตลาดฯ ยังเตรียมออกมาตรการควบคุม HFT และ PROGRAM TRADING ในระยะถัดไปทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ช่วงครึ่งหลังของปี มีโอกาสเห็นนักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนในไทยเด่นชัดขึ้น
กองทุน THAIESG ใหม่เตรียมเข้า ครม. มีหุ้นอะไรน่าสะสมบ้าง
ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนมีกระแสข่าวว่าเตรียมนำกองทุน TESG เข้าครม. ในช่วงกลางสัปดาห์ จึงทำให้เห็นเม็ดเงินซื้อสุทธิหุ้นไทยของสถาบันกว่า 4.6 พันล้านบาท(ช่วง1 -10 ก.ค.67) แต่หลังจากนั้นกระแสข่าวที่หายไปจึงทำให้สถาบันขายสุทธิหุ้นไทยจนยอดสุทธิอยู่ที่ -556 ล้านบาท (MTD) อย่างไรก็ตามวันนี้มีกระแสข่าวว่า คลังเตรียมชงกองทุน TESG เข้าครม. จึงเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินจากฝั่งสถาบันจะกลับมาซื้อสุทธิ SETและหนุนดัชนีปรับตัวขึ้นช่วงสั้นได้
ซึ่งเม็ดเงินที่คาดหวังจากกองทุน THAIESG ใหม่ ที่ไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้น ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าจะมีเม็ดเงินหนุนราว4 –5 หมื่นล้านบาท ตามการเปรียบเทียบด้านเม็ด
เงินที่สามารถนำมาลดหย่อยภาษีได้กับกองทุน LTF เดิม โดยเม็ดเงินที่หนุน SET ทุกๆ1 หมื่นล้านบาท มักหนุนให้ SET ขยับขึ้นได้ 1% –2%
1.คัดกรองหุ้นใน SETESG ที่มี ESG RATINGS อยู่ในระดับสูงสุด “AAA” และยังมี CGREPORT อยู่ในระดับ "ดีเลิศ" หรือ 5 คะแนน น่าจะเป็นหุ้นเป้าหมายอันดับต้น ที่เม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันฯ และเม็ดเงินจาก THAIESG FUND ใหม่จะไหลเข้า ได้ผลลัพธ์29 บริษัท ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวที่น่าสนใจ อาทิ ADVANC CPALL KBANK SCC
CRC PTTGC TISCO BGRIM CKP STA AMATA THCOM เป็นต้น
2.คัดกรองหุ้นใน SETESG ที่มี ESG RATINGS อยู่ในระดับสูงลองลงมา “AA” ที่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี(YTD) ปรับฐานลงมาลึกบวกกับปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มเติบโต
ในอนาคต อาทิ IVL AP BCH HMPRO GPSC PLANB CPN BJC เป็นต้น
สรุป กองทุน THAIESG ใหม่ น่าจะจูงใจให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ทั้งในมุม VALUATION ที่น่าสนใจ การเติบโตที่ยั่งยืน อีกทั้งข้อบังคับระยะเวลาการถือครองยังสั้นสุดเมือเทียบกับกองทุนประหยัดภาษีอื่นๆ ทั้ง LTF และ SSF โดยกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นในกลุ่มที่มี ESG RATING “AA-AAA” ที่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีปรับฐานลงมาลึก(รวมกลยุทธ์หุ้นกลุ่ม 1 และ 2) อาทิ PTTGC SCC CRC SCGP BGRIM IVLAP BCH HMPRO GPSC PLANB CPN BJC เป็นต้น
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์