Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

792

 

 

"Big Cap Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1315/1320 จุด รับ 1300/1295 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวดีขึ้น ดัชนี S&P500 บวกราว 0.98% ช่วงไทยหยุดยาว หนุนหลักจากเงินเฟ้อ PCE มิ.ย. 24 ชะลอลงดังที่ตลาดคาด +2.5%y-y, 0.1%m-m vs prev. 2.6%y-y, ทรงตัว m-m ถ่วง US Bond Yield 10 ปีปรับลงสู่ 4.17% ต่ำสุดในรอบ 1.5 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นตลาดมองมีโอกาสที่การประชุม Fed (ไทยทราบผล 1 ส.ค.) จะส่งสัญญาณ Dovish หลังคุมเงินเฟ้อได้แล้ว ประเมินปัจจัยต่างประเทศเป็นบวก ส่วนภายในวันนี้คาด ครม. พิจารณากองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่ คาดหนุนเม็ดเงินภายในใหม่เข้าสู่ตลาดเดือนละ 5-6 พันล้านบาท และบวกต่อหุ้น Big Cap โดยเม็ดเงินใหม่มีโอกาสเข้ามาเร่ง จาก SET ที่อยู่ในโซนลงทุน, เศรษฐกิจภายในเป็นบวก กระทรวงการคลังปรับเพิ่ม GDP 2024F สู่ 2.7% จาก 2.4% , กำไรปกติงวด 2Q24 DELTA +36%y-y, +56%q-q สูงกว่าคาด 36% ผสาน เงินบาทเช้านี้แข็งค่า 36 +/- บาทมอง SET วันนี้ปรับขึ้นได้ต่อ หุ้นเด่น คือ กลุ่มที่ Yield ผ่านพีคหนุน (โรงไฟฟ้า ชิ้นส่วน High Growth) หุ้น Big Cap ในดัชนี SETESG และหุ้นได้ประโยชน์น้ำมันลดลง วันนี้แนะ AOT, DELTA, KCE เด่น

 

 

Daily outlook: "Up" ต้าน 1315/1320 จุด รับ 1300/1295 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐช่วงวันหยุดฟื้นตัวต่อรับเงินเฟ้อ PCE ชะลอลง แต่เมื่อวานแกว่งตัวรอ Event สำคัญงบหุ้นใหญ่และการประชุม Fed อิง Dow Jones -0.12%d-d , S&P500 +0.08%, Nasdaq +0.07% โดยดัชนี S&P Sector ปรับขึ้นหลักๆคือ Consumer Discretionary, ICT, Real estate ฯลฯ Sector ที่ปรับลงหลักๆคือ Energy, IT, Financial ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น Tesla +5.6% ,Alphabet +1.52% หุ้นกลุ่มชิปปรับตัวขึ้น หลังจาก ON Semiconductor +12% รับรายงานกำไรดีกว่าคาด และ Microchip Technology (MCHP) +1% McDonald's +3%รับรายงานยอดขายร้านเดิมในสหรัฐฯ 2Q24 ดีกว่าคาด ฯลฯ

•(*/+) US Earning : บริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 รายงานงบ 2Q24 ออกมารวม 215 บริษัทจาก 500 บริษัทกำไรรวมดีกว่าคาด 4.6% เพิ่มจากกลางสัปดาห์ที่ 4.3% และยอดขายรวมดีกว่าคาด 1.2% ดีขึ้นจากกลางสัปดาห์ที่ 1.0% ส่วนอัตราการเติบโตกำไรและยอดขายอยู่ที่ 6.3% (VS. ปลายสัปดาห์ 6.4%) และ 4.03% (VS. ปลายสัปดาห์ 4.17%) ตามลำดับ โดยรวม KSS ประเมินกำไรบริษัทออกมาปานกลาง โดยยังต้องติดตามบริษัทอื่นๆ อาทิ วันนี้ติดตาม PayPal, Microsoft, พรุ่งนี้ Meta, Qualcom, Mastercard

•(*/+) China Econ : กำไรภาคอุตสาหกรรมจีน เดือน มิ.ย. กลับขึ้นมา +3.6%y-y ทำให้ผลรวมตั้งแต่ต้นปีเพิ่มขึ้นเป็น (+3.5%) มากกว่าคาดที่ +3.2% อุตสาหกรรมที่ขยายตัว หลักๆคืิ คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร +24.0%,ยานยนต์ (10.7%) การแปรรูปอาหารและการเกษตร (+19.2% KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงจีน

•(*/+) US Econ : 1.) Headline PCE เดือน มิ.ย.ลดลงสู่ระดับ 2.5%y-y จาก 2.6% ในเดือน พ.ค. เท่ากับที่ Consensus คาดไว้ที่ 2.5% (+0.1%mom จาก 0% ในเดือน พ.ค. แตะเท่ากับ Consensus คาดที่ 0.1%) ส่วน Core PCE ทรงตัวที่ระดับ 2.6% เท่ากับเดือน พ.ค. แต่สวนทางกับ Consensus คาดว่าจะลดลงแตะระดับ 2.5% (+0.2%mom มากกว่าเดือน พ.ค. +0.1% และ มากกว่า Consensus คาด +0.1%mom) 2.) ยอดใช้จ่ายส่วนบุคคลตามคาด +0.3%m-m แต่รายได้ส่วนบุคคล +0.2%m-m ต่ำกว่าคาดที่ +0.4%m-m. นักลงทุนตอบรับในทิศทางบวกโดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อ (PCE) ที่ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดจะกดดันให้เฟดทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นจิตวิทยาบวกหนุนหุ้น Tech กลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

•(*/+) China Stimulus : รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นสินค้าอุปโภคเน้นไปที่รถยนต์เพิ่มเงินอุดหนุนในการเปลี่ยนรถคันเก่า แบ่งเป็นรถยนต์สันดาปจาก 7 พันหยวน/คัน เพิ่มเป็น 1.5 หมื่นหยวนต่อคัน /รถ NEV จากเดิมที่ 1 หมื่นหยวน (เพิ่มเป็น 2 หมื่นหยวน/คัน) และให้เงินอุดหนุนเครื่องใช้ไฟฟ้า วงเงินรวม 3 แสนล้านหยวนราว 0.02% ของ GDP จีนปี 2023 บวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงจีน กลยุทธเน้นกลุ่มชิ้นส่วน KCE(TP@52.0) รายได้หลักๆมาจากยานยนต์ 70% และรายได้ที่มาจากจีนราว 13%

•(*/+)Kamala : รองประธานาธิบดีสหรัฐ Kamala Harris ให้สัมภาษณ์กดดันให้นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เร่งผลักดันให้การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาเกิดขึ้นโดยเร็ว KSS ประเมินแนวคิดนโยบายของ Kamala ไม่สนับสนุนสงคราม ทำให้หากได้รับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ มีโอกาสที่จะทำให้ความตึงเครียดสงครามลดลง มองเป็นจิตวิทยาลบต่อ ราคาน้ำมันดิบ และ World Container Index และ ค่า Frieght ที่ปรับขึ้นมาในปีนี้จากความกังวลสงคราม มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มน้ำมันดิบ PTTEP, PTT กลุ่มเรือคอนเทเนอร์ RCL

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับลงต่อเนื่องรับเงินเฟ้อ PCE ชะลอ อายุ 2 ปีแกว่งตัวลงโซนบริเวณที่ 4.36% และอายุ 10 ปี ปรับลง -3 bps ปิด 4.17% (ต่ำสุดในส่วนรอบ 1 เดือนครึ่ง) ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแกว่งตัวในทางแข็งค่า 104.3 จุด

•(*) To monitor : สหรัฐฯ 30 ก.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. คาด 99.7 จุด, 1 ส.ค. ติดตาม PMI ภาคผลิตสำนัก S&P ก.ค. คาด 49.5 จุด vs PMI ภาคผลิตสำนัก ISM คาด 49.0 จุด, 2 ส.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ค. คาด 1.75 แสนราย vs prev. 2.0 แสนราย และอัตราการว่างงาน ก.ค. คาด 4.1% เท่าเดือนก่อน. Fed Meeting: 1 ส.ค. ติดตามผลการประชุม FOMC คาดคงดอกเบี้ยกรอบ 5.25 – 5.5%ฝั่งจีน PMI: 1 ส.ค. ติดตาม PMI จีน ภาคผลิตคาด 49.3 จุด vs prev. 49.5 จุด, นอกภาคผลิต 50.2 จุด vs prev. 50.5 จุด

•(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับลง 2 วันและทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง อิง Brent -1.66%d-d ปิดที่ US$ 79. 78/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.75%d-d ปิดที่ US$ 75.81/barrel แม้จะมีแรงตึงเครียดประเด็นสงครามในตะวันออกกลาง ที่เพิ่มขึ้น จากข่าวมีจรวดที่ยิงจากเลบานอนคร่าชีวิตเด็ก 12 คนในอิสราเอลมองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

 

What happened in Thailand ?

• (+) SET: ตลาดหุ้นวันศุกร์ที่ผ่านมา +15.63 จุด หรือ +1.21% ปิดที่ 1307.21 จุด มูลค่าซื้อขาย 4.02 หมื่นล้านบาท กลุ่มหนุนดัชนีหลักๆ คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTTEP) GULF จากแรงหนุนราคาก๊าซธรรมชาติลดลงต่อเนื่อง ผสาน ความคาดหวังเชิงบวกต่อศักยภาพบริษัทหลังควบรวม INTUCH PTTEP ตามราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวดีขึ้นและกระแสเม็ดเงิน Rotation จากกลุ่ม Technology มา Value กลุ่มสื่อสาร (INTUCH, ADVANC) ปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับ GULF กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มยานยนต์ โดยกลุ่มยานยนต์ถ่วงจากยอดผลิตรถยนต์ มิ.ย. ที่ดิ่งลงต่อเนื่อง

• (+) Flow : เงินทุนปลายสัปดาห์ก่อนไหลเข้า ขายหุ้น -4.1 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +213.8 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long สุทธิราว 21,286 สัญญา เงินบาทแข็งค่า 36.0 +/- บาท

• (+) ThaiESG : แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุม ครม. วันนี้ (30 ก.ค.) รมว. คลัง จะเสนอที่ประชุมพิจารณาร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของไทย (กองทุน ThaiESG) เกณฑ์ใหม่ หลักๆ คือ 1.) ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน 2.) ซื้อสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท (เดิมสูงสุด 100,000 บาท) 3.) ระยะเวลาถือครอง 5 ปี (นับจากวันที่ซื้อ) จากเดิม 8ปี 4.) การปรับเงื่อนไขลงทุนที่ครอบคลุมหุ้น 200 บริษัทจากเดิม 128 บริษัท หลัง ครม. อนุมัติ จะมีการประกาศเงื่อนไขหุ้นที่กองทุนลงทุนได้ใน 2 สัปดาห์ KSS มองบวกต่อความคืบหน้าดังกล่าว โดยคาดเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดเดือนละ 5-6 พันล้านบาท โดยจากการศึกษาช่วงที่มีกองทุนคล้ายกัน LTF และเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัวดังเช่นปัจจุบันในปี 2012-13 ทุกๆ 1หมื่นล้านบาทจะหนุน SET ราว 20-25 จุด ส่วนชุดหุ้นที่คาดได้อานิสงส์ทางบวกเบื้องต้น คือกลุ่มหุ้นปัจจุบันที่อยู่ในดัชนี SETESG และมีน้ำหนักสูง ผสาน กลุ่มที่มีพื้นฐานแกร่งในปัจจุบัน คาดจะเห็นการเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น อาทิ ADVANC(น้ำหนักใน SETESG 5.2%) CPALL* (5.1%) AOT*(5.0%) GULF*(5.0%) SCC(2.8%) CPN (2.6%) INTUCH (2.45%) CPF(2.1%) CRC*(1.96%) MINT*(1.7%) SCGP*(1.15%) BEM*(1.09%) ทั้งนี้ ในกลุ่มที่มีเครื่องหมาย* คือ กลุ่มที่ยอด Short Sales คงค้างที่ยังไม่ปิดสถานะมากกว่า 0.5% ของทุนชำระแล้ว

• (*/+) TH Tourism : จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ YTD ถึง 25 ก.ค. 24 แตะระดับ 20 ล้านคนแล้ว บ่งชี้ 1-25 ก.ค. มีนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 2.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 0.1 ล้านคน โดยรวมยังเดินหน้าทางบวกตามที่ KSS ประเมินคาด นักท่องเที่ยว ก.ค. 24 สูง 3.1 +/- ล้านคน ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยช่วงฤดูกาล 1Q24 โดยเราเชื่อว่านักท่องเที่ยวช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสเร่ง > ก.ค. 24 จากผลบวกมาตรการฟรีวีซ่าที่ครอบคลุมหลายประเทศมากขึ้น เชื่อนักท่องเที่ยวทั้งปี 24 ไม่ต่ำกว่า Consensus ประเมิน 35.5-36 ล้านคน เชิงกลยุทธ์ยังมองหุ้นท่องเที่ยวที่ไม่ตอบรับทางบวกน่าสนใจ เน้น AOT, BA, MINT

• (+) TH GDP : กระทรวงการคลังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2024 สู่ 2.7% จากเดิม 2.4% โดยองค์ประกอบที่ปรับเพิ่ม คือ การบริโภคภาคเอกชน ท่องเที่ยว การส่งออก การลงทุนภาครัฐฯ โดยยังไม่รวมอานิสงส์นโยบาย Digital Wallet ขณะที่ยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปปี 2024 ที่ +0.6% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลงเหลือ +0.5% เดิม 0.8% เรามองบวก โดยรวมบ่งชี้ภาพ Upside GDP ระยะถัดไปที่ตลาดมีโอกาสทบทวนปรับขึ้น และ GDP ดังกล่าวยังไม่รวม Digital Wallet ที่จะช่วย Top-up นอกจากนี้ การปรับเงินเฟ้อพื้นฐานลง หากเป็นไปตามคาดจะมี Upside ในส่วนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ หากอิงองค์ประกอบ GDP ที่ปรับขึ้น เรามองเป็นบวกต่อ หุ้นค้าปลีก CPALL, CPAXT, BJC ท่องเที่ยว เน้น AOT, BA, MINT การส่งออก GFPT, CPF, ITC การลงทุนภาครัฐฯ เน้น STEC BE8

• (*/+) TH Export : ยอดส่งออก เดือน มิ.ย. พลิกติดลบ -0.3%y-y หลักๆ เพราะการส่งออกผลไม้ชะลอ โดยเฉพาะทุเรียน และค่าระวางเรือสูง vs prev. 7.2% (6M24 +2.0%) ส่วนยอดนำเข้าพลิกบวก +0.3% prev. 1.7%y-y ส่วนดุลการค้าเป็นภาพเกินดุล 2 เดือนติด ล่าสุด 220 ล้านเหรียญฯ จาก prev. 625 ล้านเหรียญฯ ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าเด่น มิ.ย. 24 ได้แก่

• ข้าวกลับมาขยายตัว +96.6%y-y, 6M24 +48%)

• ยาง ขยายตัว 8 เดือนติด (+28.8%y-y, 6M24 +30.6%) บวกต่อ NER, STA และบวกต่อกลุ่มอิงกำลังซื้อฐานราก และหุ้นเชื่อมโยงกับยาง และข้าว คือค้าปลีก อาทิ CPALL, DOHOME

• ไก่แปรรูป ขยายตัว 4 เดือนติด (+4%y-y, 5M24 +6.2%) บวกต่อ GFPT, CPF, FM

• อาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัว 9 เดือนติด (+13.1%y-y, 6M24 +26.6%) บวกต่อ AAI, ITC

ส่วนประเด็นน่าสนใจอื่นๆ คือ ตลาดที่ขยายตัวเร่งขึ้น คือ สหรัฐ อาเซียน ขณะที่ยอดนำเข้าพลิกติดลบเล็กน้อยที่ +0.3%y-y หนุนเดือนนี้ภาพเกินดุล 2 เดือนติด ล่าสุด 220 ล้านเหรียญฯ

• (*/+) AUTO : หุ้นยานยนต์ไทยที่พึ่งพาลูกค้าค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นสูง ล่าสุดมีประเด็นสร้างจิตวิทยาความคาดหวังทางบวก ดังนี้ 1.) ระยะสั้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส กำลังเจรจาเข้าร่วมพันธมิตรกับนิสสันและฮอนด้า หวังไล่ตามคู่แข่งต่างชาติในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับรถยนต์ยุคใหม่ ขณะเดียวกันโตโยต้าได้จับมือกับซูซูกิ มาสด้า และซูบารุ ในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า และ 2.) ที่ประชุม Board EV เห็นชอบมาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตระดับคงที่ สำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน 10 คนแบบไฮบริด (HEV) ในช่วงปี 2571-2575 จากเดิมอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น 2% ทุก 2 ปี คาดว่าจะมีค่ายรถยนต์สนใจเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 5 ราย สร้างเม็ดเงินลงทุนช่วง 4 ปีข้างหน้า ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท มองบวกหนุนกระแสการลงทุน โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ต่างชาติในไทยเพิ่มขึ้น โดยรวมเราประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นยานยนต์ แต่ระยะสั้น อิงทางพื้นฐานแนะนำรอติดตามพัฒนาการผลบวกประเด็นดังกล่าวที่ชัดเจนก่อน โดยหุ้นที่ปลอดภัยต่อการเก็งกำไร เรามอง SAT ที่ Valuation ถูกใกล้ระดับ – 2S.D. ขณะที่มีเงินสดในมือคิดเป็นาวครึ่งนึงของมูลค่าหุ้นปัจจุบัน นอกจากนี้ กลุ่มที่บวก คือ หุ้นนิคมที่ความเสี่ยงการออกจากตลาดค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นลดน้อยลง และมีโอกาสลงทุนระยะกลาง-ยาวในไทยต่อไป ระยะสั้น นิคม เน้น AMATA ที่กำไร 2Q24 เด่นกว่า WHA

• (*/+) Digital Wallet : หลังรัฐฯเปิดเผยเตรียมให้ประชาชนลงทะเบียนตรวจสอบสิทธิ์นโยบาย Digital Wallet สำหรับผู้ที่มีสมาร์ทโฟน 1 ส.ค. – 15 ก.ย. 24 ผ่านแอพพลิเคชั่น "ทางรัฐ" ล่าสุดยอดการสมัครเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ ของประชาชน เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากเดิม (ก่อนวันที่ 24 ก.ค.67) มีจำนวนการใช้งานเฉลี่ยวันละ 50,000-60,000 ครั้ง ขณะที่ปัจจุบัน (ภายหลังวันที่ 24 ก.ค.67) พบว่ามีจำนวนการสมัครเข้าใช้งานเฉลี่ยถึงวันละ 800,000 - 900,000 ครั้ง ซึ่งมากกว่ายอดการสมัครใช้เดิมกว่า 10 เท่า เรามองเป็นพัฒนาการบวกอ่อนๆ ต่อการเดินหน้านโยบายดังกล่าว ประเมินจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อหุ้นอิงกลุ่ม Domestic ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT, BJC เครื่องดื่ม เน้น OSP สื่อสาร เน้น ADVANC ธนาคาร เน้น KTB ส่วนความคืบหน้าถัดไปพรุ่งนี้ (31 ก.ค.) รอติดตามการแถลงนโยบาย Digital Wallet รอบนายกรัฐมนตรี

• (*) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 403 บริษัท (vs วันทำการล่าสุด 403 บริษัท) พบว่าส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยกลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 89 บริษัท (วันทำการล่าสุด 63 บริษัท) หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 233 บริษัท (วันทำการล่าสุด 258 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 79บริษัท (วันทำการล่าสุด 78 บริษัท)

• (*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ติดตาม 1.) 31 ก.ค. รายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มิ.ย. ตลาดคาด -0.3%y-y vs prev. -1.54% 2.) 31 ก.ค. การแถลงนโยบาย Digital Wallet รอบนายกรัฐมนตรี 3.) 31 ก.ค. ดุลบัญชีเดินสะพัด มิ.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 647 ล้านเหรียญฯ 4.) 1 ส.ค. PMI ภาคผลิต มิ.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 51.7 จุด 5.) รายงานกำไรหุ้น Real Sector ได้แก่ PTTEP, HMPRO, TRUE

 

Daily Strategy : AOT, DELTA, KCE เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Up" หุ้นสหรัฐฯ มองแรงหนุนตลาดชัดเจนทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก คือความเชื่อมั่นตลาดต่อภาพ Fed ที่ควบคุมเงินฟ้อได้แล้ว ถ่วง US Bond Yield ดิ่งลงอายุ 10 ปีต่ำสุดในรอบ 1.5 เดือน + เงินบาทแข็งค่า ขณะที่ภายในสัญญาณเศรษฐกิจไปในทางบวก กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานภายในแรกที่เริ่มนำร่องปรับเพิ่ม GDP ปี 2024F ขณะที่วันนี้จะมีภาพบวก ครม. พิจารณา ThaiESG หนุนเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาด มองหุ้นนำ 1) กลุ่มที่ Yield ผ่านพีคหนุน (โรงไฟฟ้า ชิ้นส่วน High Growth) หุ้น Big Cap ในดัชนี SETESG โดยเฉพาะที่ยังมียอด Short Sales สูง (CPALL, AOT, MINT, SCGP) และหุ้นได้ประโยชน์น้ำมันลดลง อาทิ สายการบิน (AAV, BA) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC)

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC, MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• MSCI Rebalance: ดัชนี MSCI มีกำหนดการประกาศผลการ Rebalance รอบใหม่วันที่ 12 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 13 ส.ค.) โดยการ Rebalance จะมีผล 30 ส.ค. เบื้องต้นเราคาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงหลุดออกจากดัชนี ได้แก่ AWC GPSC EA เสี่ยงระดับกลาง คือ IVL เสี่ยงต่ำ คือ KTC ระยะสั้นมีโอกาสหุ้นชุดดังกล่าวจะมีโอกาสเคลื่อนไหว Underperform เชิงกลยุทธ์ให้เลี่ยงลงทุนไปก่อน

• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย

การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21

อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%

ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

 

 

• Energy & Petrochemical (Neutral): เรามองความไม่ชัดเจนของกฏหมายคุมราคาน้ำมันที่อาจคืบหน้าใน 4Q24F จะคอยกดดัน(overhang) กลุ่มโรงกลั่น จากตลาดอาจกังวลต่อความสามารถทำกำไรในระยะยาวหากสุดท้ายราคาน้ำมันมีการควบคุม/แทรกแซง การปรับขึ้นราคาจากภาครัฐ ซึ่งในกรณี worst case ข้างต้นเรามองต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนทั้งโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน อย่างไรก็ตามเรามองด้วยเป้านโยบายที่จะคงการค้าน้ำมันเสรีของรัฐและต้องบริหารเสถียรภาพพลังงานภายในประเทศไม่ให้ขาดแคลน supply ภาครัฐจะเลือกเครื่องมือคุมราคาน้ำมันผ่านภาษีฯ และกองทุนน้ำมันฯ เพื่อไม่ให้กระทบอย่างไม่เป็นธรรมต่อความสามารถในการแข่งขันและอัตรากำไรของเอกชน เราประเมิน sensitivity ผลกระทบดู fig 11, 13 ทั้งนี้เราคงมุมมอง Neutral ต่อกลุ่มพลังงานฯ และคง SPRC (TP11) เป็น top pick

• OR (Neutral, TP20): มอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F ของ OR ที่ 2,494 ลบ. (-9% y-y, -33% q-q) ใกล้เคียงที่เคยประเมิน ลดลง y-y q-q ฉุดจากฝั่ง Mobility ที่เผชิญการแข่งขันสูง และมี stock loss มาฉุดกำไรขั้นต้นต่อลิตร เราคาด 3Q24F กำไรยังลดลง q-q จากปัจจัยฤดูกาล (หน้าฝน) ที่ส่งให้ปริมาณขายลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้เราปรับลดกำไร 2024-26F ลง -3-7% และปรับ TP24F ลงเป็น 20.0 บาท/หุ้น ปรับคำแนะนำลงเป็น Neutral จากระยะสั้นขาด catalyst (กำไร 2Q-3Q24F ลด q-q) และมีความไม่ชัดเจนของกฏหมายคุมราคาน้ำมัน

• Soft Commodity (Neutral): สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น +3.05%w-w เพราะสหรัฐรายงานตัวเลขส่งออกถั่วเหลืองสัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้น w-w ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น +0.56%w-w เพราะมาเลเซียรายงานปริมาณส่งออกน้ำมันปาล์มวันที่ 1-25 กค. เพิ่มขึ้น m-m อย่างไรก็ตามราคาน้ำตาลลดแรง -5.11%w-w เพราะโบรกเกอร์ commodity ชื่อ StoneX คาดดุลน้ำตาลโลกปี 2024/25 จะมีอุปทานเกินดุล 1.2 ล้านตัน ราคายางพาราลดลง -0.33%w-w เพราะผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้นและกังวลความต้องการของจีนลดลง

อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ทรงตัวที่ 43.50 บาท (ต้นทุน 37-38 บาท) ราคาสุกรทรงตัวที่ 71.5 บาท (ต้นทุน 68-77 บาท) ราคาสุกรจีน +0.11% มาที่ 19.17 หยวนหรือ 95.8 บาท สูงกว่าต้นทุนการเลี้ยงที่ 16.5 หยวน ราคาสุกรเวียดนาม +0.26%มาที่ 64,333 ดองหรือ 90.0 บาท เพราะการระบาด ASF ทำให้ผลผลิตเข้าสู่ตลาดลดลง

การประกาศงบ 2Q24 คาด ITC 6 สค. TU 7 สค. NER-TVO 9 สค. GFPT 13 สค. CPF-STA-STGT 14 สค.

เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เราให้ Top pick CPF (TP24/25 22/25.5 และมีแนวโน้มปรับขึ้น) ราคาสุกรจีนฟื้นตัวเร็วกว่าคาดและราคาสุกรเวียดนามยืนสูงเป็นผลบวกต่อแนวโน้มงบ CPF ใน 2Q24F และ GFPT (TP 15.10 มีแนวโน้มปรับขึ้น) แนวโน้มการส่งออกไก่โตและราคาไก่เพิ่ม คาดยังดีต่อเนื่องในผลการดำเนินงาน 2Q24F

• DELTA (Neutral, TP82): DELTA's core earnings in 2Q24 surged to Bt5.9b (+36% yoy, +56% qoq), recorded high, 27% higher than consensus and our expectation. This was mainly due to a stronger expect on its revenue and GPM. The company has a strong outlook as the global demand on AI and data center remain strong. The company's earnings have an upside risk toward our forecast. Maintain NEUTRAL with the same TP of Bt82.

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

NER ร่วมทำดี บริจาคโลหิต เฉลิมพระเกียรติ จัดหาโลหิตสำรอง...ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

NER ร่วมทำดี บริจาคโลหิต เฉลิมพระเกียรติ จัดหาโลหิตสำรอง...ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

HotNews: เปิดหุ้นเสี่ยง! ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา

เปิดหุ้นเสี่ยง!ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา กลุ่มไหน เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย ในทางกลับกัน ธีมไหนได้ได้อานิสงส์ ไปดู...

รอดูสถานการณ์ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ยามนี้ ต้องจับตา รอดู สถานการณ์ ชายแดน ไทย-กัมพูชา คณะมนตรีความมั่นคง UN นัดประชุมฉุกเฉิน....

มัลติมีเดีย

DEXON แผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าขยายฐานลูกค้า ยุโรป-อเมริกา

DEXON แผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าขยายฐานลูกค้า ยุโรป-อเมริกา

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้