Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews: IAA เฟ้น4หุ้นเด่น AOT-BEM-CPALL-KBANK เล็ง SET ปีหน้า 1,754 จุด

2,633

 

 

 

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4ตุลาคม 2564)--------สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน(IAA) เผย กูรู-ผจก.กองทุน เล็งวัคซีนในไทยคืบหน้า บวกกับเศรษฐกิจโลกฟื้นคาด SET Index สิ้นปีนี้ 1648 ส่วนปีหน้า 1754 จุด แจก4 หุ้นเด่น AOT-BEM-CPALL-KBANK พร้อมแนะกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็นเงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12.20% ,กองทุนตราสารหนี้ 16.80% ,หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.80% ,หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 25.88%,กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.04% ,ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96% ,อื่นๆ 2.32%

 

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 27 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 22 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 3 บริษัท และบริษัทโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 1 บริษัท ซึ่งได้ปรับสมมติฐานหลักเป็นปัจจุบันแล้ว ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

สมมติฐาน GDP ปี 64 นั้นผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าเป็นบวก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.68% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ก.ค.64) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 2.11% แต่มีผู้ตอบร้อยละ 14.81 ที่มองถึงขั้นติดลบ อย่างไรก็ตาม GDP ปี 65 มีความเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นบวก โดยมีค่าเฉลี่ย 3.67%


ทางด้านสมมติฐานราคาน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามที่ 68.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้
• 60 – 69.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 55.56
• 70 – 79.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 40.74
• 80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 3.70

เมื่อให้มองยาวไปจนถึงสิ้นปี 2564 ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในปี 2564 ได้แก่ แนวโน้มสถานการณ์วัคซีนและโควิดในไทย ผู้ตอบแบบสำรวจ 96.30% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 70.37% ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย และ แนวโน้มสถานการณ์โควิด19 โลกมีผู้ตอบ 66.67% ตามลำดับ

ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2564 ได้แก่ แนวโน้มการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ 92.59% รองลงมาคือปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 85.19% และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) ซึ่งมีผู้ตอบ 69.23% ตามลำดับ


สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เสนอให้ภาครัฐใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงเร่งการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเปิดเมืองมากขึ้นเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง จำนวนร้อยละ 45.16 ของผู้ตอบเสนอให้มีการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ ออกมาตรการช่วยเหลือภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว และ สนับสนุนการฟื้นฟูการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อย SMEs ให้สินเชื่อพิเศษ ทั้งนี้มีผู้ตอบร้อยละ 41.94 เสนอให้ออกนโยบายให้การช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการจับจ่าย ที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้และสนับสนุนการลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาว (LTF) นอกเหนือจากข้อเสนอดังกล่าว มีผู้ตอบร้อยละ 12.90 เสนอให้เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

 

ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นักวิเคราะห์เกือบทั้งหมด(กว่าร้อยละ 85) มีความเห็นว่าจะคงที่ ในปี 2564 จนถึงปี 2565

คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2564 ของตลาดเฉลี่ยที่ 82.08 บาท สูงขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 80.87 บาทต่อหุ้น โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้
• 70 – 79.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 26.09
• 80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 69.57
• 90 – 99.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 4.35

และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาดเฉลี่ยที่ 92.49 บาท โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้
• 70 – 79.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 4.76
• 80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 14.29
• 90 – 99.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 76.19
• 110 – 119.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 4.76

EPS Growth ของปี 2564 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 69.50 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ
• 20 - 39.99 มีผู้ตอบร้อยละ 10
• 40 - 59.99 มีผู้ตอบร้อยละ 45
• 60 - 79.99 มีผู้ตอบร้อยละ 10
• 80 - 99.99 มีผู้ตอบร้อยละ 5
• 100 - 119.99 มีผู้ตอบร้อยละ 30


และ EPS Growth ของปี 2565 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 12.73 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ
• 1 - 9.99 มีผู้ตอบร้อยละ 30
• 10 - 19.99 มีผู้ตอบร้อยละ 65
• 20 - 29.99 มีผู้ตอบร้อยละ 5


สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ระหว่างต.ค. - ธ.ค.ปี2564 เฉลี่ยที่ระดับ 1,675 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 95.15 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,601 – 1,700 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 4.55 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,701 – 1,800 ตามลำดับ

เมื่อมองจุดต่ำสุดของปี 2564 นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ระหว่างต.ค. - ธ.ค.ปี2564 มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,565 จุด


ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2564 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,648 จุด ซึ่งสูงขึ้น 1 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ซึ่งอยู่ที่ 1,647 จุด
และคาดการณ์เป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,754 จุด

ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำ ให้มีเงินสด / เงินฝากระยะสั้นร้อยละ 12.20 ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ร้อยละ 16.80
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย ร้อยละ 28.80 รองลงมา ลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ ร้อยละ 25.88 ตามมาด้วยการแบ่งเงินลงทุนไว้ในกองทุนอสังหา/REIT ร้อยละ 8.04 ทองคำ ร้อยละ 5.96 และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Digital Currency น้ำมัน Private Asset ร้อยละ 2.32 ตามลำดับ

หมวดธุรกิจที่แนะนำเพิ่ม- ลดน้ำหนักการลงทุนในครึ่งปีหลัง

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในครึ่งปีหลังนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร อสังหาฯ พาณิชย์ โรงแรมและการท่องเที่ยว
ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจพลังงาน โรงพยาบาลและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

หุ้นเด่น


รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1. AOT ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสัญญาเช่าสนามบิน ลุ้นรายได้พาณิชย์ใหม่ จากการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ที่ดิน 700 ไร่ใกล้สุวรรณภูมิ ซึ่งสร้าง Upside และเสริมภาพการฟื้นตัวธุรกิจการบินในระยะกลาง-ยาว
2. BEM โดยมองว่าผลประกอบการ Q3 เป็นจุดต่ำของปีนี้ แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการทยอยเปิดเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า
3. CPALL ปัจจัยสนับสนุนจาก ปรับโครงสร้าง MAKRO เข้าถือหุ้นใน Lotus’s 100% และคาดว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยว จะทำให้ผลประกอบการของ Lotus’s กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
4. KBANK โดยคาดว่าสินเชื่อโตเกินเป้าจะทำให้กำไรดีกว่าคาด ปรับเพมประมาณการกำไรปี 2565/66 ขึ้นอีก 6%/3 และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565F เป็น 160 บาท


สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ธุรกิจหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่ปีก่อนวิ่งขึ้นมากว่า 1,000% เนื่องจากราคาเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


----จบ----

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ความหวัง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุ้นไทย เขียวสดใส แรงซื้อหุ้นบิ๊ก แคป หนุนนำ ท่ามกลางนักลงทุน ลุ้นผลเจรจาภาษีระหว่าง..

ATLAS โชว์ศักยภาพผู้นำตลาด LPG ร่วมเวทีเสวนาสร้างธุรกิจยั่งยืนก่อนเข้า SET

ATLAS โชว์ศักยภาพผู้นำตลาด LPG ร่วมเวทีเสวนาสร้างธุรกิจยั่งยืนก่อนเข้า SET

มัลติมีเดีย

TMILL วางกลยุทธ์ ขยายตลาดควบคู่เน้นบริหารต้นทุน ดันมาร์จิ้นสดใส

TMILL วางกลยุทธ์ ขยายตลาดควบคู่เน้นบริหารต้นทุน ดันมาร์จิ้นสดใส

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้