Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : 4 บจ.อดรนทนไม่ไหว!! ทุ่มกว่า 1 หมื่นลบ.ซื้อหุ้นคืน

4,718

HotNews : 4 บจ.อดรนทนไม่ไหว!! ทุ่มกว่า 1 หมื่นลบ.ซื้อหุ้นคืน

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (31 มกราคม 2563 ) ผู้สื่อข่าวหุ้นอินไซด์ สำรวจช่วงเดือน มกราคม 2563  บริษัทจดทะเบียน (บจ.) แห่ซื้อหุ้นคืนคึกคักพบ 4  บจ. อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน ใช้เงินรวม 10,400  ล้านบาท ได้แก่ KBANK แจ้งบอร์ดซื้อหุ้นคืนวงเงิน 4.6 พันลบ. จำนวนไม่เกิน  23.93 ล้านหุ้น (1% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด) ระหว่างวันที่  14-27 กพ. 63 - SPALI เคาะซื้อหุ้นคืนวงเงิน 2 พันลบ.จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น (5.6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด)ระหว่างวันทึ่ 12 ก.พ.-11 ส.ค.63  -CK แจ้งมติบอร์ดซื้อหุ้นคืนวงเงิน ไม่เกิน 3 พันลบ.จำนวนไม่เกิน 169,389,000 หุ้น (10% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด) ระยะเวลา 2 มี.ค.-1 ก.ย.63  และTPIPLประกาศทุ่ม 800 ลบ.ซื้อหุ้นคืน 383,610,000 หุ้น เริ่มซื้อ 14 ก.พ. - 13 ส.ค.63

 

 

KBANK ทุ่ม 4.6 พันลบ. ซื้อหุ้นคืน 23.93 ล้านหุ้น พร้อมแจกปันผลหุ้นละ 4.50 บ. ขึ้น XD 9 เม.ย. 63

 

ราคาหุ้นแบงก์อ่อนตัว กสิกรไทยเตรียมนำสภาพคล่องส่วนเกินซื้อหุ้นคืน 23.93 ล้านหุ้น ไม่เกิน 4,600 ล้านบาท ชี้เงินกองทุนแข็งแกร่ง สภาพคล่องเพียงพอรองรับทำธุรกิจระยะยาว และประกาศเห็นชอบการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานปี 2562 อัตราหุ้นละ 5.00 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 4.00 บาท

 

 

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารมีมติอนุมัติให้ธนาคารดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินของธนาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธนาคารและผู้ถือหุ้น โดยจะซื้อหุ้นของธนาคารคืนในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ สูงสุดไม่เกิน 23.93 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 1% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในวงเงินไม่เกิน 4,600 ล้านบาท ช่วงระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืน 10 วันทำการ ระหว่างวันที่ 14-27 กุมภาพันธ์ 2563 ราคาเสนอซื้อจะไม่เกินราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนวันซื้อหุ้นคืน บวกด้วยจำนวน 15% ของราคาปิดเฉลี่ย โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจะเป็นเงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคาร

 

 


ในช่วงนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงหุ้นของกลุ่มธนาคารพาณิชย์อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธนาคารกสิกรไทยก็มีเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) สูงถึง 19.62% ซึ่งมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสามารถรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และธุรกิจของธนาคาร มาตรฐาน BASEL 4 และปัจจัยที่อาจจะเป็นผลกระทบในอนาคต รวมทั้งธนาคารยังคงมีสภาพคล่องทางการเงินอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของธนาคารสูงถึง 299,217 ล้านบาท โดยโครงการซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์จะส่งผลให้ธนาคารมีสินทรัพย์สภาพคล่อง และมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง และสามารถบริหารสภาพคล่องส่วนเกินและเงินกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากธนาคารสามารถซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ตั้งไว้ จะทำให้ธนาคารมีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเป็นจำนวนเท่ากับวงเงินซื้อหุ้นคืนดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น

 

 


ทั้งนี้ หลังจากมีการซื้อหุ้นคืนแล้ว ในอนาคตคณะกรรมการธนาคารอาจพิจารณาขายหุ้นที่ซื้อคืนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ภาวการณ์ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานั้น โดยจะพิจารณาวิธีการจำหน่ายหุ้นและแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ กำหนดระยะเวลาการขายหุ้นคืนจะทำหลังจากที่ซื้อหุ้นมาแล้ว 6 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

 

 


นอกจากนั้น คณะกรรมการธนาคาร ยังมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2562 แก่ ผู้ถือหุ้นสามัญในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท และเนื่องจากธนาคารได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท จึงจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายอีกในอัตราหุ้นละ 4.50 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 10 เมษายน 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 เมษายน 2563 โดยจะเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ต่อไป ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ธนาคารจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 4.00 บาท

 

 

 


CK จะซื้อหุ้นคืน 10% วงเงินไม่เกิน 3 พันลบ. เริ่ม 2 มี.ค.-1 ก.ย.63

 

ดร. สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

 

โครงการซื้อหุ้นคืนวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืน: ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท


จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน: ไม่เกิน 169,389,000 หุ้น (คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด)


วิธีการในการซื้อหุ้นคืน: ซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


กำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืน: ภายในระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2563


สำหรับ เหตุผลในการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการบริหารสภพคล่องส่วนเกินของบริษัทฯ ให้กิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น และอัตรทำไรสุทธิ (EPS) และบริษัทมีความเชื่อมั่นในศักยภาพในการดำนินธุรกิจ และการสร้งรายได้ของบริษัทในอนาคต

--------------------- 

 

 

SPALI ทุ่ม 2 พันลบ. ซื้อหุ้นคืน120ล้านหุ้น หลังราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เริ่มซื้อคืน 12ก.พ.-11ส.ค.63

 

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการ และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) SPALI เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stocks) ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2 พันล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จำนวน 120 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็น 5.6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด กำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.-11 ส.ค.63

 

 

สำหรับเหตุผลในการซื้อหุ้นคืน เนื่องจากราคาตลาดที่เป็นอยู่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมาก , เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น และเพื่อสะท้อนถึงสถานะทางการของบริษัทที่มั่นคง ทั้งนี้ข้อมูลกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัท โดยข้อมูลจากงบการเงินสอบทานตรวจสอบงวดล่สุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 กำไรสะสมของบริษัท เท่ากับ 29,911 ล้านบาท หนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน เดือน นับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน เท่ากับ 4,700 ล้านบาท ความสามารกในการชำระหนี้ของบริษัที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน โดยระบุแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการการชำระหนี้คืนบริษัทตำระคืนหนี้จากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และเงินรับจากการโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า

 

จำนวนผู้ถือหุ้นสมัญรายย่อย (Free Float) ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นหรือวันที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2562 เท่ากับร้อยละ 70.00 ของทุนชำระแล้วของบริษัท

 

 

TPIPL ประกาศทุ่ม 800 ลบ.ซื้อหุ้นคืน 383,610,000 หุ้น เริ่มซื้อ14ก.พ.-13ส.ค.63 เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทฯ



นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) TPIPL เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2563 เมื่อ 30 มกราคม 2563 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน (Treasury Stock)ของบริษัท จำนวน 383,610,000 หุ้น คิดเป็น 2% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ภายในวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 800 ล้านบาท โดยมีกำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืน นับต้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ - 13 สิงหาคม 2563

 



สำหรับเหตุผลในการซื้อหุ้นคืน เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ(EPS) รวมทั้งบริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และการสร้างรายได้ของบริษัทฯ ในอนาคต ทั้งนี้ ผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืน ต่อผู้ถือหุ้นผู้ถือหุ้นมีโอกาสจะได้รับเงินปันผลสูงขึ้นเนื่องจากหุ้นที่บริษัทจะซื้อดีนไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ส่วนต่อบริษัทฯการซื้อหุ้นคืนจะส่งผลให้งินสด และมูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง

 

 

อย่างไรก็ตามบริษัทฯเชื่อมั่นว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อทั้งบริษัทๆ และผู้ถือหุ้นต่อไป TPIPL ระบุว่า ข้อมูลกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทฯ จากงบการเงินสอบทานงวดล่าสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 บริษัทฯ มีกำไรสะสมของงบเฉพาะกิจการบริษัทฯ เท่ากับ 12,281 ล้านบาท มีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน เท่ากับ 9,513 ล้านบาท บริษัทฯ มีสภาพคล่องส่วนเกิน โดยมีดวามสามารถในการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะริ่มซื้อหุ้นคืน

 

 

ทั้งนี้บริษัท มีภระนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน (นับแต่วันซื้อหุ้นคืน) จำนวน 9,513 ล้านบาทโดยณวันที่29 มกราคม 2563 บริษัทฯ มีเงินสด และเงินลงทุนจำนวน 2,664 ล้านบาท (บริษัทฯและบริษัทย่อย มีงินสด และงินลงทุน จำนวน 6,406 ล้านบาท) และมีกระแสงินสดสุทธิจากการดำเนินธุรกิจ และกิจกรรมทางการเงินจำนวน 1,105 ล้านบาท (สุทธิภายหลังการชำระหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน จำนวน 9,513 ล้านบาท) ส่งผลให้บริษัทฯ มีเงินสดและวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,769 สันบท ดังนั้น บริษัทจึงมีสภาพคล่องส่วนเกินเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการซื้อหุ้นคืน

 


ด้านบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ออกบทวิเเคราะห์ เปิดเผยว่า การประกาศซื้อหุ้นคืนมักส่งผลดีต่อราคาหุ้นในช่วงระยะสั้น (ดีสุด 1 เดือนหลังประกาศ) ทั้งนี้ สภาวะตลาดที่ผันผวนและราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรง สร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนหลายๆ บริษัทที่มีความพร้อมทางการเงิน ขณะที่ผู้บริหารต้องการส่งสัญญาณว่าราคาหุ้นของบริษัทต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน กลับมาเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยการประกาศซื้อหุ้นคืน (Tresury Stock) โดยในสัปดาห์นี้ มีบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนถึง 4 บริษัท คือ CK, KBANK, SPALI และ TPIPL ซึ่งราคาหุ้นหลังประกาศถึงปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี 5.3%, 5.9%, 1.8% และ 3.3% ตามลำดับ หากไปดูข้อมูลในอดีตย้อนหลัง 10 ปี ในกลุ่มตัวอย่างบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศซื้อหุ้นคืนเกือบทั้งหมดราว 42 บริษัท และส่วนใหญ่จะประกาศซื้อหุ้นคืนในปีที่ตลาดฯปรับฐานแรงเสมอ เช่น

 


•ปี 2558 SET Index ปรับฐาน 14% (ลดลงมากสุดใน 10 ปี ที่ผ่านมา) มีบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน 5 บริษัท และมีมาต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2559 อีก 4 บริษัท ซึ่งในปี 2559 SET Index ฟื้นตัวกว่า 19.8%
•ปี 2561 SET Index ลดลง 10.8% (ลดลงมากสุดเป็นอันดับ 2 ใน 10 ปี ที่ผ่านมา) มีการประกาศซื้อหุ้นคืนถึง 13 บริษัท หลังจากนั้น 6 เดือน SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.6% (ช่วง 1H62)
•ปี 2562 ส่วนใหญ่มีการประกาศหุ้นคืนในช่วงครึ่งหลังของปีราว 15 บริษัท หลังจาก SET Index มีการปรับฐานลงมาเยอะ
•ปี 2563 มีการประกาศซื้อหุ้นคืน 4 บริษัท หลังจากที่ SET Index ปรับตัวลงกว่า 3.5% (ตั้งแต่ต้นปี)

 

---เปรียบเทียบจำนวนหุ้นที่ประกาศซื้อหุ้นคืน กับผลตอบแทนตลาดในแต่ละปี---

 



หากพิจารณาโดยภาพรวมของ SET Index สังเกตได้ว่าหลังจากบริษัทจดทะเบียนออกมาประกาศซื้อหุ้นคืนเป็นจำนวนมาก SET Index มักจะตอบสนองในเชิงบวกและมีโอกาสรีบาวด์กลับในระยะถัดไปเสมอ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะนักลงทุน ตอบรับสัญญาณที่ผู้บริหารส่งออกมาว่าราคาหุ้นมี Valuation ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามความต่อเนื่องในการปรับขึ้นของราคาหุ้นยังขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ด้วย เฉพาะอย่างยิ่งแรงหนุนจาก Fund Flow ถัดมาฝ่ายวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ค้นหาช่วงเวลาในการลงทุนหุ้นที่ถูกซื้อหุ้นคืน

 

 

จากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด คือ "ซื้อหุ้นดังกล่าวในวันที่ประกาศ และขายทำกำไรใน 1 เดือนถัดมา" มีโอกาสได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกราว 2.6% (บางบริษัทให้ผลตอบแทนเกิน 10%) เนื่องจากการซื้อหุ้นคืนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพยุงราคาหุ้น บวกกับความคาดหวัง EPS เพิ่มขึ้น จากจำนวนหุ้นที่ลดลงตามจำนวนที่ซื้อคืน รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณของผู้บริหารว่าหุ้นบริษัทตัวเองถูกเกินไป อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นราคาส่วนใหญ่จะย่อตัวลงตามลำดับ โดยเฉพาะหลังจากประกาศซื้อหุ้นคืนเกิน 6 เดือน ผลตอบแทนที่ได้มีโอกาสย่อตัวจนติดลบ เนื่องจากบริษัทมีระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืนได้ไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่กดดันราคาและยังสอดคล้อกับสถิติในอดีต ดังตารางทางด้านล่าง

 

 

--ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นที่ประกาศซื้อหุ้นคืน (ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี)--

 

 


สรุปจากข้อมูลในอดีต ในช่วงเวลาที่มีบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก ภาพรวมตลาดมีโอกาสฟื้นในระยะถัดไปเสมอ ส่วนราคาหุ้นบริษัทที่ถูกประกาศซื้อหุ้นคืน มักปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในระยะสั้น (ดีสุด 1เดือนหลังประกาศ) ส่วนระยะยาวตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ราคามักย่อตัวลง และหลายๆบริษัทให้ผลตอบแทนติดลบ สวนทางตลาดที่เริ่มฟื้นขึ้น

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

PTG คว้าหุ้นยั่งยืน "ระดับสูงสุด AAA" จาก SET ESG Ratings ปี 2568

PTG คว้าหุ้นยั่งยืน "ระดับสูงสุด AAA" จาก SET ESG Ratings ปี 2568

IND ส่งต่อพลังบุญ มอบรถกระบะให้วัดป่าลัน ใช้สืบสานงานศาสนา

IND ส่งต่อพลังบุญ มอบรถกระบะให้วัดป่าลัน ใช้สืบสานงานศาสนา

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้