HotNews: กูรูส่อง SET พ.ย. Sideways
ระวังต่างชาติเทขาย
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 3 พฤศจิกายน 2560)--------บล.ทิสโก้ชี้ปลายปีต่างชาติจ่อเทขายหุ้นไทย แนะทยอยช้อนเก็บรอขายปีหน้า ที่ 1,850 จุด ด้านบล.ทรีนีตี้เปิดกลยุทธ์ลงทุนเดือนพ.ย. แนะ Selective มองดัชนีฯ วิ่งในกรอบ 1680 – 1750 จุด ฟากบล.แอพเพิล เวลธ์ คาด งบ บจ.Q3/60 อ่อนแอ ฉุดหุ้นไทยเดือน พ.ย. ปรับฐาน ประเมินดัชนีฯแกว่งตัว 1,670-1,730 จุด ขณะที่เซียนหุ้นกรุงศรี คาดเดือน พ.ย. SET จะ Sideways ในกรอบ 1,700-1,750 จุด แรงเก็งกำไรไตรมาส3/60 ของบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มชะลอตัว มีโอกาสเกิดSell on fact หลังประกาศงบ
บล.ทิสโก้ชี้เดือน พ.ย.-ธ.ค. ต่างชาติเตรียมเทขายหุ้นไทย หอบผลตอบแทนกลับบ้านกว่า 20% แนะฉวยจังหวะซื้อหุ้นเก็บรอขายปีหน้าที่นิวไฮ 1,850 จุดในไตรมาส 1/2561 คาดเดือนนี้เห็น DOWJONES ตกหนักช่วงสภาคองเกรสประกาศผ่านกฎหมายปฏิรูปภาษี
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจากการเก็บสถิติพบว่ามีโอกาส 80% ที่นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นไทยในช่วงเดือนพ.ย.และเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการขายสุทธิก่อนหยุดยาวปลายปี ขณะที่หุ้นไทยยังปรับขึ้นมาแล้ว 5 เดือนติด โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันหุ้นไทยให้ผลตอบแทนแล้วประมาณ 20% (ดัชนีปรับขึ้น 12% และกำไรจากค่าเงิน 8%) ประกอบกับมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากต่างประเทศรุมเร้าทำให้นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขายเพื่อล็อกผลกำไรไว้ก่อน
ทั้งนี้ แรงเทขายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องน่ากังวลนักเนื่องจากจะมีแรงซื้อจากกอง LTF และ RMF ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เข้ามาช่วยพยุงดัชนีไว้ ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ 1,700-1,680 จุด เป้าหมายปลายปี 2560 ที่ 1,750 จุด และคาดว่าจะเห็นหุ้นไทยแตะ 1,850 จุดได้ในไตรมาสที่ 1/2561 จึงควรใช้โอกาสที่หุ้นย่อตัวในเดือนพ.ย.ทยอยเก็บหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET 50 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 หุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด และขายทำกำไรเมื่อดัชนีทำจุดสูงสุดในปี 2561
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับคัดเลือกเข้าไปอยู่ใน SET 50 Index สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี 2561 เบื้องต้นคาดว่ามี 3 ตัวคือ TPIPP, SAWAD และ CENTEL ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET 100 คาดว่ามี 11 ตัวคือ TPIPP, ESSO, TTW, HANA, ORI, WHAUP, PLAT, KSL, SPCG, GOLD, COL เราแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่น่าสนใจก่อนประกาศผลและขายเมื่อข่าวออกมา
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามความเคลื่อนไหวหุ้นทั่วโลกพบว่า ขณะนี้หุ้นทั่วโลกทำจุดสูงสุดใหม่เกือบทุกตลาดสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในภาวะฟองสบู่ และจะยังคงอยู่ในภาวะดังกล่าวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2561 แต่สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นแรงนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปี 2559 ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลดลงบ้างประมาณ 500 จุดโดยเฉพาะในช่วงที่สภาครองเกรสประกาศผ่านกฎหมายปฏิรูปภาษี เพราะนักลงทุนจะอาศัยจังหวะที่มีข่าวดีขายทำกำไรออกมา
“หากวัดผลตอบแทนจากเดือนพ.ย. 2559 ในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนถึงปัจจุบันหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 20% โดยตลาดที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 25-30% คือ DOWJONES, NASDAQ, DAX, NIKKEI และ SOUTH KOREA ตลาดที่ให้ผลตอบแทน 20-25% คือ KOSPI, HANG SENG และ EURO STOXX 50 ขณะที่ SET 50 ให้ผลตอบแทน 16% และตลาดที่ให้ผลตอบแทน 10-15% คือ SET, PHILLPINES, INDONESIA และ CHAINA A SHARES เมื่อดูระดับ P/E จะพบว่าอยู่ในระดับสูงเกือบทุกตลาด กล่าวได้ว่าหุ้นทั่วโลกอยู่ในระดับแพงจากภาวะฟองสบู่ ทำให้นักลงทุนยอมรับ Forward P/E ที่แพงขึ้น หากนักลงทุนต้องการลงทุนหุ้นต่างประเทศแนะนำให้หาจังหวะเข้าลงทุนใน Chaina H Share ซึ่งมี P/E ต่ำสุดหรือที่ประมาณ 8.22 เท่า ขณะที่ S&P500 อยู่ที่ 18.04 เท่า” นายวิวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ งานสัมมนาTISCO Monthly GURU Updatesเป็นหนึ่งในกิจกรรมสัมนาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนเพื่อเผยแพร่บทวิเคราะห์และทิศทางการลงทุนเพื่อช่วยให้ลูกค้าทิสโก้และนักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ตามกลยุทธ์การเป็นผู้แนะนำการลงทุนชั้นนำ หรือTop Advisory Houseของทิสโก้
ทรีนีตี้เปิดโผหุ้นเนื้อหอมเดือนพฤศจิกายน แนะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เหมาะแก่การลงทุนระยะยาว ส่วนกลุ่มค้าปลีกมีโอกาสได้อานิสงส์ในระยะสั้นจากรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้น และมาตรการช้อปช่วยชาติ มองดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1680 – 1750 จุด โดยตลาดยังคงได้รับแรงขับเคลื่อนจากนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นสำคัญ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ตัวเลขภาคการผลิตและประธานเฟดคนใหม่
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนเดือน พฤศจิกายนนี้ ว่าจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่มีแนวโน้มการปรับตัวขึ้นและปรับตัวลงอย่างจำกัด จึงแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ selective โดยกลุ่มที่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวได้แก่ กลุ่มที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาด เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งยังมีปัจจัยพื้นฐานรองรับได้แก่ ยอดขาย Semiconductor ทั่วโลกที่ยังคงปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มนี้แนะนำซื้อลงทุน HANA และ KCE
สำหรับในระยะสั้น มองกลุ่มค้าปลีกมีความน่าสนใจจากการขยายตัวของรายได้เกษตรกรเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้เข้าสู่โครงการพักชำระหนี้ของรัฐบาลมีจำนวนเพิ่มขึ้น และความเป็นไปได้ของมาตรการช้อปช่วยชาติ ที่อาจออกมาในช่วงปลายปีกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย มองหุ้นที่ได้ประโยชน์หลักจากปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ GLOBAL และ SINGER
สำหรับทิศทางของดัชนีหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายน ประเมินว่าจะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,680-1,750 จุด โดย Upside ยังคงถูกจำกัดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มมีการปรับพอร์ต หลังราคาหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา และแนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจแข็งค่าขึ้นในช่วงถัดไป อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวคงไม่สามารถกดดันดัชนีให้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญได้ เนื่องจากคาดว่าตลาดจะได้รับการประคับประคองจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่มักจะเป็นผู้ซื้อสุทธิในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี ส่วนหนึ่งมาจากเม็ดเงิน LTF/RMF ที่ไหลเข้ามาลงทุน
“นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 เป็นต้นมา สถิติการซื้อสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนสถาบันในไตรมาส 4 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราคาดว่าในปีนี้น่าจะเห็นภาพดังกล่าวเช่นเดียวกัน เนื่องจากประเมินว่าในปีนี้ยังมีผู้ที่ไม่ได้ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีจำพวก LTF/RMF อยู่พอสมควร สะท้อนจากยอดขายสุทธิของกองทุน LTF ที่เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้กว่า 17,000 ล้านบาท”
นายณัฐชาต กล่าวว่า ในระยะสั้นมี 2 ประเด็นที่ต้องจับตา คือ 1.ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลก หากตัวเลขดังกล่าวเริ่มย่อตัว อาจกดดันต่อราคาโลหะอุตสาหกรรม ซึ่งการปรับตัวลงของราคาโลหะอุตสาหกรรม จะเป็นปัจจัยบวกเชิงอ้อมต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ได้ เนื่องจากมีทองแดงเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ รวมทั้งติดตามดัชนีค่าระวางเรือซึ่งมีผลต่อหุ้นกลุ่มขนส่งทางเรือ
2.ประธาน Fed คนใหม่ ซึ่งหากเป็นชื่อของนาย Jerome Powell (ดังที่ผลโพลคาดไว้ล่าสุด) คาดว่าบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ด้วยรูปแบบการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยไม่เร่งรัดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุล แต่หากเป็นนาย John Taylor จะมีการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบตึงตัว ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อกระแสทุนต่างชาติในตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจากจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น
บล.แอพเพิล เวลธ์ คาด งบ บจ.Q3/60 อ่อนแอ ฉุดหุ้นไทยเดือน พ.ย. ปรับฐาน ประเมินดัชนีฯแกว่งตัวในกรอบ 1,670-1,730 จุดลุ้น LTF - RMF ราว 4 หมื่นลบ. ดัน SET ในช่วงปลายปี แนะเก็บหุ้นแบงก์ และกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก เข้าพอร์ต
"บล.แอพเพิล เวลธ์" คาด งบ บจ.ไตรมาส 3/60 อ่อนแอ ฉุดหุ้นไทยเดือน พ.ย. ปรับฐาน ประเมินดัชนีฯแกว่งตัวในกรอบ 1,670-1,730 จุด ลุ้น LTF - RMF ราว 4 หมื่นล้านบาท หนุนภาวะการซื้อขายช่วงปลายปีนี้ แนะเก็บหุ้นแบงก์ BBL, KBABK, SCB และกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก เช่น AAV, ERW, MINT,CPALL, ROBINS เข้าพอร์ต
นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาปิดที่ระดับ 1,721.37 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.88% MoM สถาบันซื้อสุทธิ 5.5 พันล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 7.2 พันล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 2.1 พันล้านบาท โดยดัชนีสามารถปรับตัวผ่านระดับแนวต้าน 1,700 จุดได้ จากความชัดเจนในประเด็นการเมืองที่คาดจะสามารถจัดการเลือกใหม่ได้ตามโรดแม็ป ในช่วงปลายปี 2561
อย่างไรก็ตาม หลังจากดัชนีฯ ปรับตัวผ่านแนวต้านบริเวณ 1,700 จุด ขึ้นไปทําจุดสูงสุดในเดือน ต.ค. ที่ 1,729.68 จุด ก็มีแรงขายทํากําไรออกมา โดยจากการประเมินสัญญาณทางเทคนิค สัญญาณ Indicator เช่น RSI เริ่มส่งสัญญาณ Negative Divergence กับดัชนี SET ดังนั้นจึงประเมินการเคลื่อนไหวของดัชนี SET ในเดือน พ.ย. นี้ น่าจะมีลักษณะการแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 1,670 – 1,690 จุดและแนวต้าน 1,730 – 1,750 จุด คาดเป็นการปรับฐานหลังดัชนีปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็ว
รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวอีกว่า ประเด็นการลงทุนในเดือน พ.ย. ให้ติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FOMC เบื้องต้นคาดว่ายังคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1 – 1.25% ก่อนรอการปรับขึ้นในการประชุมวันที่ 13 ธ.ค. นี้ อีก 0.25 % แต่ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาไปที่การเลือกประธานเฟดคนใหม่ที่จะมาแทนนางเจเน็ต เยลเลน ในเดือน ก.พ. ปีหน้า ซึ่งหากเป็นนายเจอโรม พาวเวล น่าจะส่งผลบวกต่อตลาดทุนจากแนวนโยบายการเงินผ่อนปรน ส่วนตลาดน้ำมันให้จับตาการประชุมโอเปกในวันที่ 30 พ.ย. คาดกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกยังคงหนุนการลดกําลังการผลิตไปจนถึงปลายปีหน้า
สําหรับรายงานผลประกอบการ Q3/60 ของไทย ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินมีโอกาสต่ำกว่าประมาณการณ์ เนื่องจากคาด PTTEP จะบันทึกรายการขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ในโครงการมารีน่า ออยล์ แซนด์ราว 1.8 หมื่น ลบ. และส่งผลให้ผลประกอบการ PTT ใน Q3/60 ต่ํากว่าคาดการณ์ด้วย ขณะที่ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ Q3/60 ขยายตัวเพียง +4.5 % (QoQ) แต่ - 8.7 % (YoY) ทั้งนี้ ประเมิน EPS รวมตลาดปีนี้ลดลงจากเดิม 100.50 บาท/หุ้น เหลือ 98.60 บาท/หุ้น ส่งผลให้คาดการณ์ Upside ดัชนี SET ปรับลดลงจากเดิม 1,758 จุด เหลือ 1,725 จุด ( อิง Forward P/E ปี60 ที่ 17.5 เท่า ) อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF & RMF จํานวนราว 4 หมื่นลบ. ( อ้างอิงข้อมูลมอร์นิ่งสตาร์ ประเทศไทย ) ยังเป็นปัจจัยบวกช่วยหนุนภาวการณ์ซื้อขายช่วงปลายปีนี
กลยุทธ์การลงทุน แนะนําซื้อลงทุนกลุ่มธนาคาร เช่น BBL , KBANK , SCB โดยคาดว่าสินเชื่อปี 2561 ขยายตัว 5 – 7 % กลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก เช่น ERW , MINT , AAV, CPALL ,ROBINS , BJC , TNP จากอานิสงส์รัฐออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและท่องเที่ยว
บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า SET Index เดือน ต.ค.พุ่งทำ New High ในรอบ 24 ปี เนื่องจากนักลงทุนขานรับภาพการเมืองในประเทศที่ชัดเจนขึ้น หลังจากนายกรัฐมนตรีออกมาส่งสัญญาณว่าจะสามารถประกาศวันเลือกตั้งได้ในช่วงเดือน มิ.ย.และจัดการเลือกตั้งได้ในช่วงเดือน พ.ย.ปีหน้า โดยมีกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลัก หุ้น Big Cap พักตัวโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารผิดหวังแบงก์ใหญ่งบออกมาต่ำกว่าคาด ขณะที่ PTT PTTEP ถูกกดดันจากการตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์ลงทุนในแคนนาดา อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่ม Mid - Small Cap ปรับตัวขึ้นโดดเด่นโดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มมีเดีย เก็งกำไรข่าวลดค่าธรรมไลเซนส์ทีวีดิจิตอล, กลุ่มค้าปลีกเก็งกำไรยอดขายกลับมาฟื้นตัวและคาดภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงปลายปี และ กลุ่ม Auto ตอบรับ ยอดผลิต ยอดขาย และ ส่งออกรถยนต์ กลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ SET Index ปิด ณ สิ้นวันที่ 31 ต.ค.ที่ระดับ 1,721 จุด เพิ่มขึ้น 2.9%mom มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยหนาแน่นที่ 62,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7%mom แต่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,297 ล้านบาท
เรามีมุมมองเป็นกลางต่อทิศทางการลงทุนในเดือน พ.ย.คาด SET Index จะ Sideways ในกรอบ 1,700-1,750 จุด แรงเก็งกำไรไตรมาส 3/17 ของบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มชะลอตัวและมีโอกาสเกิดSell on fact หลังการประกาศงบเนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับขึ้นสะท้อนปัจจัยนี้ไปแล้ว SET Index ในปัจจุบันซื้อขายบนForward PE ที่สูงกว่าระดับ +1SD ทำให้ upside ในปีนี้เริ่มจำกัดขณะเดียวกันตลาดยังมีแรงกดดันจาก Fund Flow ต่างชาติที่อาจจะไหลออกเพื่อปรับพอร์ตก่อนที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ธ.ค.อย่างไรก็ตามเราคาดว่าดัชนีจะผันผวนในกรอบจำกัดเนื่องจากตลาดยังมีแรงหนุนจากเม็ดเงิน LTF และ RMF ที่ทยอยเข้าซื้อในช่วงปลายปี ประกอบกับคาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานคาดกลุ่ม OPEC ประกาศขยายช่วงเวลาลดกำลังการผลิต 1.8 ล้านบาร์เรล ออกไปจนถึงสิ้นปีหน้า(OPEC ประชุม 30 พ.ย.) กลยุทธ์การลงทุนยังเน้น Selective buy เน้นหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 4/17 เติบโตดี และ ดีต่อเนื่องในปีหน้า Top Pick เดือน พ.ย. เราถอด KTC ที่ Upside จำกัด และ GCAP ที่ติด Cash balance ออก แทนด้วย IHL และ COL และคงหุ้น AMATA IVL และ MINT ไว้ตามเดิม
สถิติย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิในเดือน พ.ย. และ ปีนี้มีโอกาสเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย : จากสถิติย้อนหลัง 10 ปี (2007-2016) มีความน่าจะเป็นที่ต่างชาติจะขายสุทธิในเดือน พ.ย.ประมาณ 70% (ต่างชาติขายสุทธิในเดือน พ.ย.มีจำนวนทั้งหมด 7 ปี และ มีเพียง 3 ปี เท่านั้นที่ต่างชาติจะซื้อสุทธิในเดือน พ.ย.) และ มียอดขายสุทธิเฉลี่ยประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้มีโอกาสที่ต่างชาติจะขายสุทธิในเดือน พ.ย.ซ้ำร้อยกับอดีตเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติจะทยอยขายปรับพอร์ตก่อนที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ธ.ค. โดยเราคาดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 1.5% ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.อยู่ที่ระดับ 83%
คาดหวังแรงซื้อจากกองทุน LTF/RMF ช่วยประคองดัชนี : Fund Flow ต่างชาติที่ไหลออกคาดว่าจะถูกชดเชยด้วยแรงซื้อจากกองทุนในประเทศโดยมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF และ RMF ในช่วงปลายปีมาช่วยหนุน โดยผลสำรวจของมอร์นิ่งสตาร์คาดว่าในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีจะมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF และ RMFเข้ามาประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อปี ดังนั้นความผันผวนหรือการพักตัวของดัชนีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนนี้จะเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากดัชนีที่ปรับตัวลงจะจูงใจให้ผู้มีรายได้และต้องเสียภาษีจะเข้ามาซื้อกองทุน LTF และ RMF เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปีทันที
กลยุทธ์การลงทุนเดือนนี้ : Selective BUY เน้นหุ้นที่งบไตรมาส 4/17 เติบโตดีและดีต่อเนื่องในปีหน้า ส่วนกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเน้น กลุ่ม ท่องเที่ยว และ กลุ่มค้าปลีก : Top Pick เดือนนี้เราคง AMATA ไว้ตามเดิม (ซื้อ /เป์า 25), IVL (ซื้อ /เป์าใหม่ 55 เดิม 50), MINT (ซื้อ/เป์า 47) แต่ถอด KTC ซึ่งมี upside จำกัด และ GCAP ที่ติด Cash balance ออก แล้วแทนด้วย IHL และ COL ซึ่งเป็น 2 หลักทรัพย์ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 4/17 และโตต่อเนื่องไปอีก 1-2 ไตรมาสในปี 18 โดย IHL(ซื้อ/เป์า 13) และ COL (ซื้อ/เป์า 95)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม 1 พ.ย. ประชุม Fed ของสหรัฐ และ BoJ ของญี่ปุ่น , 2 พ.ย.ประชุม BoE ของอังกฤษ , 8 พ.ย.ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) , 30 พ.ย. OPEC+ Non OPEC ประชุมขยายเวลาลดการผลิต
---จบ---