
HotNews : ครม. เคาะแพคเกจ "Thailand Plus" กระทุ้งศก.
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (6 กันยายน 2562) ครม.เศรษฐกิจ เคาะแพคเกจ Thailand Plus ตามที่บีโอไอเสนอ กระตุ้นและเร่งรัดการลงทุน 7 ด้าน ระดมปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งมาตรการภาษี การพัฒนาบุคลากร ปรับปรุงกฎระเบียบด้านการลงทุน และเร่งรัดให้ได้ข้อสรุปเรื่องการเจรจาเอฟทีเอ พร้อมทำตลาดเชิงรุก ด้านเทพหุ้นเอเซีย พลัส ชี้ มาตรการกระตุ้นเอกชน ดีต่อ JWD, AMATA

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันนี้ (6 ก.ย.62) เห็นชอบแพคเกจเร่งรัดการลงทุนและรองรับการ ย้ายฐานการผลิตสืบเนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้า หรือ Thailand Plus Package 7 ด้าน ดังนี้
- ด้านสิทธิประโยชน์ ให้บีโอไอกำหนดมาตรการสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเร่งรัดการลงทุน โดยลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ สำหรับโครงการที่มีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 โดยต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในปี 2563
- ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของหน่วยงาน ให้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุน ในลักษณะ One Stop Service โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคแก่นักลงทุน รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สามารถอนุมัติโครงการในกลุ่มกิจการที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกขนาดการลงทุนเพื่อตอบสนองนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานโดยเร็ว
- ด้านบุคลากร ให้กำหนดมาตรการการคลังเพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมแรงงาน โดยให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่เข้าข่าย Advanced Technology ไปหักลดหย่อนเพิ่มขึ้นระหว่างปี 2562 - 2563 รวมทั้งให้มีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจ้างงานบุคลากรทักษะสูงในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมขั้นสูง
- โดยสามารถนำค่าจ้างไปหักค่าใช้จ่ายได้ ระหว่างปี 2562 - 2563 นอกจากนี้ ในกรณีของโครงการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมและยังมีสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้อยู่ บีโอไอจะอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่ายเป็น Advanced Technology ไปคำนวณรวมเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นร้อยละ 200 รวมทั้งให้บีโอไอและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกันนำเสนอแนวทางและรูปแบบการนำเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ มาใช้สนับสนุนการจัดตั้งสถาบันการศึกษาศักยภาพสูง
- ด้านความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งปรับปรุงบัญชีแนบท้ายตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและข้อจำกัดต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ยังขอให้บีโอไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเชื่อมโยงข้อมูล เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน เช่น กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมที่ดิน เป็นต้น รวมทั้งให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญสูง
- มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมจัดหาและพัฒนาพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อรองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติแต่ละประเทศเป็นการเฉพาะ เช่น เกาหลี จีน ไต้หวัน เป็นต้นขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งสรุปผลการศึกษาและกระบวนการต่างๆให้ได้ข้อสรุปเรื่องการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าไทย-อียู และการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) ภายในปี 2562 รวมทั้งมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแก่กระทรวงพาณิชย์ สำหรับกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าด้วย และ
- ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการเพิ่มเติม โดยให้หักเงินลงทุนด้านระบบอัตโนมัติได้เพิ่มขึ้น ระหว่างปี 2562 - 2563 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ อันจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ในด้านการชักจูงการลงทุนนั้น บีโอไอจะร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อจัดทีมบูรณาการโรดโชว์และทำการตลาดเชิงรุก โดยเน้นชักจูงนักลงทุนในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี เป็นต้น
"ประเทศไทยมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับนโยบาย New Southern Policy ของเกาหลีใต้ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาและนโยบายมุ่งตะวันออก (Look East Policy) ของอินเดีย นอกจากนั้น ยังมีจุดเด่นในการเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงไปยังกลุ่ม ACMECS หรือ CLMVT การออกมาตรการ Thailand Plus ครั้งนี้ จะเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการดึงดูดการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น" นางสาวดวงใจ กล่าว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประชุม ครม. เศรษฐกิจวันนี้ รอมาตรการกระตุ้นเอกชน ดีต่อ JWD, AMATA
เศรษฐกิจไทยในช่วง 2H62 เชื่อว่าจะยังชะลอตัวชัดเจน ล่าสุด ม.หอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และต่ำสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือนอยู่ที่ 73.6 จุด จากผลของภัยแล้ง และเหตุระเบิดใน กทม. หลายจุด จากสัญญาณการบริโภคครัวเรือนที่น่าจะยังชะลอตัวต่อ เชื่อว่าจะยิ่งเร่งให้รัฐบาลเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม คือ หลังจากที่กลางเดือน ส.ค.ได้ออกมาตรการกระตุ้นการบริโภควงเงิน 3.16 แสนล้านบาท อาทิ
ให้เงินอุดหนุนการท่องเที่ยวนอก, การเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการ, การประกันรายได้เกษตรกร และคาดหวังจะมีเฟส 2อาทิเช่น ช็อปช่วยชาติ, การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, การลดค่าครองชีพด้านการขนส่งมวลชน เช่น ค่ารถไฟฟ้า, ค่าตั๋วรถเมล์ และ บขส. เป็นต้น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา
โดยในวันนี้ ASPS ให้น้ำหนักไปที่ ประชุม ครม. เศรษฐกิจคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 2 จะมุ่งเน้นกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ให้สิทธิลดหย่อนภาษี เช่น เงินลงทุนในเครื่องจักรลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า, ค่าใช้จ่าย R&D ยกเว้นภาษีได้เกิน 300% (จากเดิมไม่เกิน 300%) และการเสนอพื้นที่รองรับการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เช่น จีน, สหรัฐ และยุโรป เป็นต้น (ดังตาราง) ก่อนที่จะส่งต่อให้ ครม. พิจารณาอนุมัติ ช่วงต้นสัปดาห์หน้า

เชื่อว่ามาตรการต่างๆจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทางตรงได้ โดยเฉพาะเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (FDI) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มนิคม และกลุ่มขนส่ง-โลจิสติกส์ เช่น AMATA(FV@B 35.70) , FPT (FV@B 20.10) และ JWD(FV@B 12.30)
แรงหนุนเพิ่มเติมจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ ทั้งในมาตรการกระตุ้นการส่งออก รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน คือ TU(FV@B 23), AMATA(FV@B 35.70) และวันนี้เพิ่ม JWD อีก 1 บริษัท มีรายละเอียดดังนี้
JWD (FV@B 12.30) คาดกำไร 2H62 เติบโตดีเป็นขั้นบันได เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจบริการรับฝากและบริการคลังสินค้า (สัดส่วน 59.9% ของรายได้รวม) และจะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น เพราะคลังเย็นอินโดนีเซียได้รับงานจาก Burger King เพิ่มขึ้นอีก 85 สาขา (เดิม 55 สาขา)
รวมถึงบริษัทนิคมฯพนมเปญ (PPSP) ขายพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจขนส่ง (สัดส่วน 14.5%) มีการเติบโตต่อเนื่องหนุนด้วยการเปิดคลังเย็นอัตโนมัติที่มหาชัย และ Renovate คลังเย็นบางนา 6 พันตรม. และงานขนส่ง Cross Border ไปยังกัมพูชาจะดีขึ้นอย่างเด่นชัด ทั้งหมดทั้งมวลจะทำให้ผลประกอบการ JWD ปี 2562 เติบโตสูงถึง 37% YoY เท่ากับ 345 ล้านบาท ด้านราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside เปิดกว้าง 36.7% จากมูลค่าพื้นฐาน 12.3 บาท ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน