ศูนย์วิจัยกสิกรไทย : นับถอยหลังสู่การเปิดเสรีการเงิน...แบงก์คงต้องเตรียมรับมือกับการแข่งขันทั้งทางตรงและทางอ้อม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ท่ามกลางกระแสการเปิดเสรีการค้าและบริการ โดยเฉพาะภายใต้เส้นทางสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นั้น สาขาบริการด้านการเงินก็เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่หลีกหนีทิศทางดังกล่าวไปไม่พ้น ถึงแม้ว่าความคืบหน้าของการเจรจากรอบการเปิดเสรีสำหรับสาขาบริการด้านการเงินดังกล่าว จะยังไม่ชัดเจนและก้าวหน้าเท่ากับมิติของสินค้าที่ได้เข้าสู่จังหวะของการลดภาษีเป็นส่วนใหญ่แล้วตั้งแต่ปี 2553 ก็ตาม โดยจากการเจรจารวม 5 รอบตั้งแต่ปี 2539-2554 ภาคส่วนที่มีความคืบหน้ามากที่สุด คือ สาขาหลักทรัพย์ที่อนุญาตให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ได้ถึง 100% ในบางธุรกิจ ในกิจการที่มีอยู่แล้ว ขณะที่ อีกสองสาขาหลักที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์และประกันภัย ยังไม่ได้มีข้อผูกพันด้านการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติเกินกว่า 49% ที่ชัดเจนเท่ากับสาขาหลักทรัพย์
กระนั้นก็ดี ด้วยเล็งเห็นถึงทิศทางของการเปิดเสรีภาคบริการในสาขาหลักๆ ดังกล่าวล่วงหน้า ทางการไทยได้จัดทำแผนพัฒนาธุรกิจ/สถาบันที่อยู่ภายใต้การดูแลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อเสริมความพร้อมและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ/สถาบันเหล่านั้นให้สูงขึ้น ขณะเดียวกัน ก็วางแนวทางไปสู่การเพิ่มบทบาทของผู้เล่นรายใหม่และสถาบันการเงินต่างชาติมากขึ้นกว่าเดิม และด้วยเงื่อนเวลาที่งวดเข้ามามากกว่ากรอบการเปิดเสรีในเวทีภูมิภาค อาทิ การพิจารณาให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ใหม่ตั้งแต่ปี 2555 และใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในปี 2557 ขณะที่ รัฐบาลปัจจุบันแสดงเจตนารมณ์ที่ต้องการเร่งการเปิดเสรีดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ให้เร็วขึ้นอีก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้รวบรวมประเด็นเกี่ยวกับความพร้อมของธนาคารพาณิชย์ไทยในการรองรับการเปิดเสรีในอนาคต และข้อสังเกตที่น่าสนใจ ไว้ดังนี้
แนวทางในการเร่งรัดการเปิดเสรีธุรกิจธนาคารพาณิชย์ให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดการตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 เอื้อประโยชน์ต่อลูกค้าและผู้บริโภคไทย
สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น หลังจากที่ได้ริเริ่มแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 1 ตั้งแต่ปี 2547-2552 ซึ่งมีหนึ่งในนโยบายสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแล แล้ว ธปท.ได้นำเสนอแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 (ปี 2553 – 2557) ซึ่งครอบคลุมถึงเป้าหมายในการเปิดตลาดและให้โอกาสสถาบันการเงินต่างชาติในการทำธุรกิจในไทยในกรอบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การพิจารณาให้ใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ (New License) กับบางสาขาธุรกิจก่อน (Microfinance, IB, Trust Bank และ Islamic Bank) รวมถึงอนุญาตให้ Foreign Bank Branch และ Subsidiary มีช่องทางเพิ่มเป็นไม่เกิน 20 สาขา และ 20 เอทีเอ็ม (แต่ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนชั้นที่ 1 เป็นไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท) ในปี 2555 และการพิจารณาให้ใบอนุญาตรายใหม่ (ถ้าสถาบันการเงินในประเทศมีความพร้อม) ในปี 2557
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดปัจจุบัน มีแนวทางที่จะเลื่อนกำหนดการในส่วนนี้ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยมุ่งหวังที่จะดึงธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 1-3 ของกลุ่มอาเซียน และอาเซียน+3 (จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น) ให้เข้ามาทำธุรกิจในไทย เพื่อเพิ่มการแข่งขันของการให้บริการด้านการเงินในประเทศ อันย่อมจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศ ทั้งในมิติของการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการ การนำเสนอราคาที่ดีขึ้น และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคุณภาพของบริการที่สูงขึ้นอีกในอนาคต ขณะเดียวกัน ก็ช่วยส่งเสริมให้กิจการและผู้บริโภคไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศ ได้สะดวกขึ้น ภายใต้เงื่อนไขการให้บริการที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงกับภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ทั้งในมิติของการค้า การลงทุนโดยตรง และการออม/ลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินของประเทศอาเซียน+3
ความพร้อมของธนาคารพาณิชย์ไทยที่วัดจากมิติของฐานะทางการเงิน...ปรับตัวดีขึ้นมากจากอดีต
หากพิจารณาความสามารถของธนาคารพาณิชย์ไทยในการรองรับกรอบการเปิดเสรีฯ ที่เร็วขึ้น จากมิติของฐานะทางการเงินนั้น พบว่า ปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมากในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอัตราการทำกำไรในรูปของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) คุณภาพสินเชื่อที่ประเมินจากสัดส่วนเอ็นพีแอลที่อยู่ในระดับต่ำ และสัดส่วนการตั้งค่าเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อเอ็นพีแอล (Loan Loss Coverage Ratio: LLR) ที่เพิ่มขึ้น ฐานะสภาพคล่องปรับตัวดีขึ้น ตลอดจน ฐานะเงินกองทุนที่เข้มแข็งขึ้นมาก
นอกจากนี้ จำนวนช่องทางการขาย โดยเฉพาะสาขาและเอทีเอ็ม ก็เพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 1.5 และ 8 เท่าตัวจากช่วงหลังวิกฤตปี 2540 มาที่ 6 พันแห่ง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และประมาณ 4.4 หมื่นเครื่อง ณ สิ้นปี 2553 ตามลำดับ เช่นเดียวกับจำนวนพนักงานที่ไต่ระดับขึ้นจากช่วงต่ำสุดที่ประมาณ 8.3 หมื่นคนในปี 2545 มาที่ 1.23 แสนคนในช่วงกลางปี 2554 ที่ผ่านมา
ภาพดังกล่าว สะท้อนผลสัมฤทธิ์เชิงบวกจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ไทยให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการแข่งขัน รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ภูมิต้านทานต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น (ดังจะเห็นได้จากผลกระทบที่จำกัดจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯในปี 2551) โดยทั้งหมดนี้ มีแรงสนับสนุนที่สำคัญจากพัฒนาการด้านกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์การกันสำรองตาม IAS39 เกณฑ์การกำกับเงินกองทุน Basel II และ III การปรับปรุงมาตรฐานบัญชี ตลอดจน แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 1 และ 2 ที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2547 และ 2553 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ความพร้อมดังกล่าว สะท้อนความสามารถในการแข่งขันสำหรับ ‘เวทีในประเทศ’ มากกว่าเวทีภูมิภาค
ความพร้อมทั้งในมิติของด้านการเงิน เงินกองทุน และเครือข่ายสาขาในการให้บริการ รวมถึงจุดแข็งด้านความคุ้นเคยกับลูกค้าและฐานลูกค้าขนาดใหญ่ดังกล่าว ช่วยให้ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยสามารถรักษาประสิทธิภาพในการแข่งขันได้ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งขนาดใหญ่ที่ยังคงมีผู้ถือหุ้นใหญ่สัญชาติไทย (ดังจะเห็นได้จากส่วนแบ่งตลาดสินทรัพย์ที่สูงกว่า 60% ตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา) แต่คงต้องยอมรับว่าความสามารถในการแข่งขันดังกล่าว เน้นไปที่เวทีในประเทศ มากกว่าการให้บริการลูกค้านอกประเทศ ซึ่งสำหรับตลาดในประเทศนั้น แผนการเร่งรัดการเปิดเสรีฯ คงนำมาสู่จำนวนคู่แข่งที่เพิ่มจำนวนขึ้น หรือมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างยากจะหลีกเลี่ยงในอนาคต ดังจะเห็นได้จากการที่ ในปัจจุบัน มีสถาบันการเงินทั้งจากมาเลเซียและสิงคโปร์หลายราย ต่างก็ให้ความสนใจเพิ่มบทบาทในธุรกิจสถาบันการเงินไทย ในธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม มากขึ้น
ขณะที่ แนวทางการเปิดเสรีธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ที่มุ่งพัฒนาการให้บริการทางการเงินเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการค้าและการลงทุนที่มีความเชื่อมโยงกับอาเซียนมากขึ้นดังกล่าว แม้ว่าจะเพิ่มความยืดหยุ่นและสร้างโอกาสสำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยในการให้บริการด้านการเงินนอกพรมแดน จากการที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ คงทยอยเพิ่มความยืดหยุ่นในการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินต่างชาติในอาเซียนเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเส้นทางที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และกลางกำลังมุ่งไปอยู่แล้ว (โดยปัจจุบันมีสาขา หรือสำนักงานตัวแทนอยู่ในจีน ลาว กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และฮ่องกง) แต่คงต้องยอมรับว่า เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เป็นสถาบันการเงินระดับภูมิภาคที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า ประเทศไทยอาจยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกรอบการเปิดเสรีฯ อย่างเต็มที่ ดังจะเห็นได้จากขนาดสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่เฉลี่ย 4 แห่ง ที่ยังเล็กกว่าธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของสิงคโปร์และมาเลเซีย ถึง 3.6 และ 1.7 เท่า ตามลำดับ
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ระดับภูมิภาคดังกล่าว ก็มีสาขาของธนาคารพาณิชย์ และธุรกิจการเงินในเครือ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจจัดการลงทุน บริษัทเงินทุน Investment Banking บริษัทหลักทรัพย์ และประกัน ในประเทศที่ธนาคารพาณิชย์ไทยเข้าไปแล้วเช่นกัน อาทิ จีน มาเลเซีย บรูไน กัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะที่ หากประเมินในมิติของจำนวนเครือข่ายสาขานั้น พบว่าธนาคารระดับภูมิภาคดังกล่าว มีสาขาในหลายประเทศในจำนวนที่มากกว่าธนาคารพาณิชย์ไทย โดยเฉพาะประเทศที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีและเป็นพื้นที่ที่ธุรกิจไทยให้ความสนใจไปลงทุนสูง อาทิ อินโดนีเซีย โดยธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดรวม 3 อันดับแรกในมาเลเซียและสิงคโปร์ มีสาขาในอินโดนีเซียรวมทั้งสิ้น 1,099 และ 101 แห่ง ตามลำดับ ขณะที่ ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่มีเพียง 1 สาขาเท่านั้น สถานการณ์คล้ายกันก็ปรากฏขึ้นในกรณีของประเทศจีน ซึ่งธนาคารสิงคโปร์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง มีจำนวนสาขามากกว่าธนาคารไทยขนาดใหญ่ แต่สำหรับบางประเทศอย่างเช่นเวียดนาม ซึ่งมีธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนมากนั้น พบว่าธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่มีสาขาและธนาคารพาณิชย์ร่วมลงทุน ในปริมาณที่แข่งขันได้กับธนาคารคู่แข่งจากมาเลเซียและสิงคโปร์
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไม่ได้เผชิญผลกระทบจากเฉพาะแผนการเปิดเสรีฯ ของ ธปท. แต่รวมถึงผลทางอ้อม โดยเฉพาะจากการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ที่เริ่มต้นก่อนด้วย
แม้กรอบการเปิดเสรีใบอนุญาตธนาคารพาณิชย์ มีโอกาสเกิดขึ้นในปี 2557 (ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2) แต่การเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ (ทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ ก. ข. ค. และ ง.) ในวันที่ 1 มกราคม 2555 ซึ่งหมายความว่าสถาบันการเงินต่างชาติสามารถขอใบอนุญาตเพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ที่ประกอบธุรกิจดังกล่าวโดยถือหุ้น 100% ได้ รวมถึงแผนการให้ใบอนุญาตเฉพาะสาขาธุรกิจของ ธปท.ในปีเดียวกัน คงจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ และบลจ.ในเครือ (ภายใต้รูปแบบธุรกิจแบบ Universal Banking) รวมถึงธุรกิจการค้าและจัดจำหน่ายตราสารหนี้ของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ แผนของทางการไทยที่เตรียมอนุญาตให้ บล.ทำธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และโครงการ ASEAN Linkage ที่ บล.ที่เข้าร่วมโครงการสามารถให้บริการส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบันและรายย่อย จากประเทศหนึ่ง ไปยังอีกประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการ (ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายปี 2554-2555 นี้) คาดว่าจะทำให้ บลจ.และธนาคารพาณิชย์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์การออม การบริหารทรัพย์ส่วนบุคคล และ/หรือบริการด้านอัตราแลกเปลี่ยน อาจต้องปรับกลยุทธ์ เพื่อรับมือกฎกติกา และสภาวะการแข่งขันที่คงแตกต่างออกไปในอนาคต ขณะที่ คงต้องติดตามท่าทีของ ธปท.ในการดูแลผลกระทบจากเกณฑ์ดังกล่าวต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งในเบื้องต้น คาดว่าอาจออกมาในรูปของการเพิ่มความยืดหยุ่นของวงเงินที่อนุมัติให้ กลต.ในการจัดสรรวงเงินย่อยให้กับแต่ละ บล.และรายลูกค้า จากวงเงินที่อนุมัติอยู่แล้วในปัจจุบัน
โดยสรุป ท่ามกลางกระแสการเปิดเสรีสาขาบริการด้านการเงินที่กำลังใกล้เข้ามา และแผนงานของ ธปท.และทางการไทยที่ต้องการเร่งรัดการเปิดเสรีธุรกิจการเงินนั้น แม้ว่าการพิจารณาในมิติของข้อมูลทางการเงิน รวมถึงจำนวนช่องทางการขายและให้บริการของธนาคารพาณิชย์ไทย จะชี้ถึงความพร้อมในการรับมือกับการแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าอดีต แต่คงต้องยอมรับว่า ความพร้อมดังกล่าว ยังมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันสำหรับตลาดลูกค้าภายในประเทศมากกว่านอกประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากคู่แข่งที่เป็นสถาบันการเงินชั้นนำระดับภูมิภาค ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่เหนือกว่ามาก ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินระดับภูมิภาคดังกล่าว ก็ยังแสดงความสนใจที่จะเพิ่มบทบาทในระบบสถาบันการเงินไทย ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและเพิ่มความเข้มข้นในการแข่งขันให้กับธนาคารพาณิชย์ไทยอย่างยากจะหลีกเลี่ยง นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังต้องเตรียมรับมือกับแผนการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 2555 ซึ่งน่าจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทย ผ่านบริษัทในเครือทั้งบริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมด้วย
เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็นวานนี้ สถาบันในประเทศ อย่าง กองทุน ขายหุ้นมากกว่า 6.39 พันล้านบาท เพื่อถือเงินสด ....
PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...
รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68