สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 24 ธันวาคม 2561)--------TIGER คว้างานเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุด เผย TEC เซ็น MOU กับพี.ที.เอ.คอนสตรัคชั่น รับงานก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมสะเดา จ.สงขลา มูลค่า 550 ล้านบาท ดัน Backlog เพิ่มขึ้นเป็น 1.34 พันล้านบาท กินยาวถึงปี 63 บิ๊กบอส “จตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์”มั่นใจรายได้-กำไร ปี 62 รายได้-กำไร New High ต่อเนื่อง

"ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์" บิ๊ก NER ปักธงรายได้ปี 62 โตไม่ต่ำ 10% หรือแตะ 1.5 หมื่นลบ. ตามปริมาณขายยางพารา ที่คาดเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 แสนตัน จากปีนี้ 2.2 แสนตัน พร้อมรุกขยายตลาดยุโรป

นายจตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TIGER) เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีเอกสารบันทึกข้อตกลงที่ PTA.150/2561 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2561 จากบริษัท พี.ที.เอ.คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้รับเหมาหลัก ในโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมสะเดา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสงขลา ระยะที่ 1 นั้น บริษัท พี.ที.เอ.คอนสตรัคชั่น จำกัด ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าจ้างการเป็นผู้รับเหมาช่วงก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมสะเดา (นิคมสะเดา) กับบริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด ("TEC") ซึ่งเป็นบริษัทแกนของบริษัทฯ

โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 550,000,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดย TEC ดำเนินการรับเหมาก่อสร้างในนิคมสะเดา โดยมีขอบข่ายงานดังนี้ (1) งานปรับปรุงพื้นที่ (2) งานถนนและระบบระบายน้ำ (3) งานระบบสาธารณูปโภค (4) งานอาคารที่เกี่ยวข้อง
ระยะเวลาการดำเนินงาน 540 วัน หลังจากมีการลงนามในสัญญาก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะลงนามและเริ่มงานก่อสร้างภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ทั้งนี้ การได้มาซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นรายการธุรกิจปกติ และเป็นตามเงื่อนไขทางการค้าโดยทั่วไปที่บริษัทฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TIGER) กล่าวอีกว่า งานใหม่ที่รับมาในครั้งนี้ ส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นเป็น 1,340 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 790 ล้านบาท ผลักดันแนวโน้มรายได้และกำไรในปี 2562 เติบโตอย่างก้าวกระโดด ตามแผนงานที่วางไว้ โดยบริษัทฯตั้งเป้ารักษาระดับการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% หรือมีรายได้ที่ระดับ 1,200 - 1,400 ล้านบาท

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 2562 โตไม่ต่ำกว่า10% หรือแตะที่ระดับ 15,000 ล้านบาท เป็นไปตามปริมาณการขายที่คาดอยู่ที่ 2.6 แสนตัน จากปีนี้อยู่ที่ 2.2แสนตัน หลังบริษัทฯได้มีการเพิ่มกำลังกำการผลิตในส่วนของโรงงานยางผสมขึ้นอีกเป็น 60,000 ตันต่อปี ประกอบกับบริษัทฯคาดว่าปีหน้าราคายางจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50 บาท จากปีนี้อยู่ที่ 47 บาท ซึ่งถือว่าเป็นจุดต่ำสุดของราคายางแล้ว

อีกทั้ง บริษัทฯได้มีการทำสัญญาระยะยาวกับลูกค้าไปแล้วกว่า 11 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีอยู่ 8 ราย ทำให้บริษัทฯมีลูกค้าที่รอรับรู้รายได้ที่แน่นอนส่วนหนึ่งแล้ว

ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าจีนรายใหม่จำนวน 3 ราย เพื่อส่งมอบสินค้าตัวใหม่คือ ยางแผ่นผสม ( (RSS Mixtures Rubber) โดยบริษัทฯเตรียมส่งสินค้าล็อตแรกให้แก่ลูกค้าจีนกว่า 80 ตันในสิ้นปีนี้ และทำให้สามารถบันทึกรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส1/2562 ซึ่งเบื้องต้นบริษัทฯได้ตั้งเป้าที่จะส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้ารายละ 5,000 ตัน/ปี

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนที่จะขยายตลาดส่งออกไปยังยุโรปเพิ่มเติม โดยมีการยื่นขอใบรับรองจากบริษัทผลิตล้อยางรถยนต์ในโซนยุโรป ซึ่งเห็นความชัดเจนแล้ว 1 ราย จากที่พิจารณาอยู่กว่า 3 ราย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส2/2562

"ธุรกิจได้เดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะในส่วนของการปรับปรุงขยายเพิ่มไลน์ผลิตยางแผ่นผสมนั้น มีการทดสอบและเริ่มเดินไลน์ผลิตไปแล้ว และสามารถส่งมอบสินค้าได้เร็วกว่ากำหนดโดยจะส่งมอบเร็วๆ นี้และรับรู้รายได้เร็วขึ้นเป็นไตรมาส 1/2562 ซึ่งจากการตอบรับของลูกค้า บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ผลการดำเนินงาน ณ ไตรมาส 4/2561 นี้ ยังเติบโตได้ดีตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ถึงสัดส่วนรายได้ปัจจุบัน จะเห็นว่า มาจากตลาดต่างประเทศต่อตลาดในประเทศอยู่ที่ 40% ต่อ 60% นั่นคือบริษัทควรเพิ่มสัดส่วนการขายต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดสัดส่วนรายได้ที่สมดุลมากขึ้น และตลาดลูกค้าต่างประเทศที่เปิดโอกาสทางธุรกิจค่อนข้างสูงและกว้างคือประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่ทางบริษัทมีประสบการณ์การขายที่ดีอยู่แล้วนั้น ถือเป็นความได้เปรียบของบริษัทเป็นอย่างมาก" นายชูวิทย์กล่าว

นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนงานปี 2562 บริษัทเตรียมขยายตลาดการส่งออกไปยุโรปเพิ่มเติมด้วย โดยมีการยื่นขอใบรับรอง (Approve) จากบริษัทผลิตล้อยางรถยนต์ประเทศในโซนยุโรป ซึ่งเห็นความชัดเจนค่อนข้างมากแล้ว 1 ราย จากที่กำลังพิจารณาอยู่กว่า 3 ราย ซึ่งน่าจะเห็นคำตอบที่ชัดเจนช่วงไตรมาส 2/2562 เพื่อเป็นการปูพื้นฐานการกระจายรายได้ให้กว้างขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการวางแผนขยายตลาดลูกค้าจากประเทศสิงค์โปร์เพิ่มด้วยข้อมูลความต้องการปริมาณยางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้บริษัทคาดว่า ปี 2562 บริษัทจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยปัจจุบันบริษัทมีการทำสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) กับลูกค้าไปแล้วกว่า 11 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีอยู่ 8 ราย ทำให้บริษัทมีลูกค้าที่รอรับรู้รายได้ที่แน่นอนส่วนหนึ่งแล้ว

สำหรับการเดินหน้าในการปรับปรุงเครื่องจักรสำหรับผลิตยางแผ่นผสม (RSS Mixtures Rubber) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น โดยสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของยางผสมขึ้นอีก 60,000 ตันต่อปี ส่วนแผนการก่อสร้างโรงงานใหม่ สำหรับผลิตภัณฑ์ยางแท่ง (Standard Thai Rubber 20 : STR20) และยางผสม (Mixtures Rubber) ที่กำลังการผลิต 172,800 ตันต่อปี ยังเดินหน้าได้ดีตามแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2562 และเริ่มรับรู้รายได้ส่วนเพิ่มในปี 2563 ทั้งนี้เมื่อรวมกำลังการผลิตจากขยายงานทั้ง 2 โครงการแล้ว จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตยางพาราแปรรูปขั้นต้นรวมทั้งสิ้นเป็น 465,600 ตันต่อปี

----จบ----