Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : NER มั่นใจเทรดวันแรกไม่ทำให้ผิดหวัง โชว์กำไรครึ่งปีแรกพุ่งกว่า 2,000%

2,901

 สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(6 พฤศจิกายน  2561)

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากยางพารา ได้แก่ ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 7 พ.ย. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 3,973 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “NER” ด้าน"ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ " บิ๊กบอส NER ตอกย้ำความมั่นใจ ลงเทรด SET วันแรกพรุ่งนี้ ยืนเหนือจองไอพีโอที่ 2.58 บ. ชูผลงานโตต่อเนื่อง คลอดงบงวด 6 เดือนแรกปีนี้ กำไรโต 2,176.15 % เหตุบริหารต้นทุนดีขึ้น แถมราคาซื้อวัตถุดิบลดลงตามราคาตลาด

 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่ามั่นใจราคาหุ้น NER ที่จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET) ในวันพรุ่งนี้ (7 พ.ย.61) มีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือราคาเสนอขายไอพีโอที่ 2.58บาทต่อหุ้น เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่ง โดยผลประกอบการมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง "เราไร้กังวลเพราะว่าผลประกอบการของเราดีต่อเนื่อง เนื่องจากเรามีฐานลูกค้าที่ดี " นายชูวิทย์ กล่าว

 


อนึ่งผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 9,819.70 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 224.12 ล้านบาท และสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 3,976.51 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 166.67 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.19% สำหรับการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรยางแผ่นผสม (RSS Mixtures Rubber) ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 60,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2562 และมีแผนที่จะสร้างโรงงานใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตยางแท่ง (STR) และยางแท่งผสม (Mixtures Rubber) กำลังการผลิต 172,800 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ส่วนเงินระดมทุนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

 

 

ทั้งนี้ เมื่อรวมการลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรยางแผ่นผสม (RSS Mixtures Rubber) ที่จะแล้วเสร็จในปี 2562 และการลงทุนก่อสร้างโรงงาน ยางแท่ง STR และยางแท่งผสมแห่งใหม่ที่จะแล้วเสร็จในปี 2563 จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตยางพาราแปรรูป รวมทั้งโรงงานเป็น 465,600 ตันต่อปี

 


พร้อมกันนี้ เชื่อว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ มีความน่าเชื่อถือต่อคู้ค่ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น สามารถรองรับแผนการขยายกิจการในอนาคต ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพและขยายโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัท สอดคล้องตามการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการขยายการดำเนินธุรกิจ และช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว

 

ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “NER” ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561

 

 

NER ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากยางพารา ได้แก่ ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราไปยังนอกราชอาณาจักร โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในประเทศต่อต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% ของรายได้จากการขายสินค้า

 

NER มีทุนจดทะเบียน 770 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 940 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 600 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวน 600 ล้านหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคม 2561 ในราคาหุ้นละ 2.58 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,548 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 3,973 ล้านบาท โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บมจ. หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย



NER มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ 61.04% นางทัศนีย์ ยังมีวิทยา 0.98% และ นางสาวนลินี แจ่มวุฒิปรีชา 0.39% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO มาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ทั้งนี้ ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.58 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 9.96 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 398.83 ล้านบาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 1,540 ล้านหุ้น (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.2590 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือภายหลังจากหักภาษี และเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมาย

 


ขณะที่นายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงินบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จํากัด (มหาชน) NER เปิดเผยว่า สําหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีกําไรขันต้นเท่ากับ 438.18 ล้านบาท เป็นการเพิ่มขึนจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจํานวน 249.18 ล้านบาท หรือเพิ่มขึนคิดเป็นร้อยละ 131.84 โดยมีอัตรากําไรขันต้นเท่ากับร้อยละ11.03 เพิ่มขึนจากร้อยละ 5.26 ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึนจากราคาซื้อวัตถุดิบเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 อย่างไรก็ตาม ราคาขายเฉลี่ยของบริษัทก็ลดลงเช่นกันซึ่งเป็นไปตามราคาตลาด ส่งผลให้ราคาขายและราคารับซือของบริษัทลดลง อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อพิจารณาต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทพบว่าสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบต่อรายได้จากการขายของบริษัทมีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปี 2560 เนื่องจากราคาซือวัตถุดิบเฉลี่ยลดลงในสัดส่วนที่มากกว่าราคาขายเฉลี่ยของบริษัทที่ ส่งผลให้กําไรขันต้นของบริษัทเพิ่มขึ้น ประกอบกับเมื่อพิจารณาอัตรากําไรขั้นต้นแยกตามประเภทสินค้าพบว่าอัตรากําไรขั้นต้นของยางแท่งและยางผสมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบของยางแท่งและยางแผ่นที่ลดลง ประกอบกับบริษัทสามารถผลิตและจําหน่ายยางผสมได้มากขึ้นจากการเปลี่ยนกระบวนการผลิตจาก Dry Process เป็น Wet Process ของยางผสม

 

 

และสําหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีกําไรสุทธิเท่ากับ 166.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจํานวน 174.70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 2,176.15 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปี 2560 ที่มีขาดทุนสุทธิเท่ากับ 8.03 ล้านบาทเกิดจากกําไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น และจากราคาซื้อวัตถุดิบของบริษัทลดลงตามราคาตลาดที่ลดลงในช่วงต้นปี 2561 เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2560 โดยในงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีต้นทุนราคาวัตถุดิบที่ลดลงในสัดส่วนที่มากกว่าราคาขายที่ลดลงซึ่งเป็นไปตามราคาตลาด นอกจากนี้ บริษัทมีสัดส่วนต้นทุนทางการเงินต่อรายได้รวมลดลง เนื่องจากบริษัทมีดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้ยืมประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินที่ลดลง บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนจากสภาพคล่องมากขึ้น ทําให้บริษัทมีความต้องการใช้แหล่งเงินกู้ยืมระยะสั้นดังกล่าวเพื่อมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทน้อยลง ส่งผลให้กําไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นดังกล่าว

 

ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมสําหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และรายได้รวมสําหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 เท่ากับ 3,609.56 ล้านบาท และ 3,976.51ล้านบาท ตามลําดับแบ่งเป็นรายได้จากการขายเท่ากับ 3,596.50 ล้านบาท และ 3,971.43 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 99.64 และร้อยละ 99.87 ของรายได้รวมตามลําดับ

 

NER

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

TMILL ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผู้ถือหุ้นโหวตรับปันผลอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น

TMILL ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผู้ถือหุ้นโหวตรับปันผลอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น

ไปไม่ไกล By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ ภาพรวมหุ้นไทย คงวิ่งไม่ไกล ไม่แรง ด้วยทั่วโลก จับตา ประธานเฟด แถลงผลประชุม 1พ.ค.67 ...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้