Market Wrap-Up
- SET วันที่ 8 ธ.ค.68 ปิด -12.38 จุด อยู่ที่ 1,261.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 37,422 ลบ. ต่างชาติซื้อ 1,024 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 915 ลบ. สถาบันขาย 982 ลบ. และรายย่อยซื้อ 873 ลบ. NVDR มียอดซื้อสุทธิ 443 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น AOT,DELTA,BH,TRUE,BANPU และยอดขายหุ้น PTTEP,KBANK,KTB,CPALL,GULF มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 2,145 ลบ.หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ HK01, CNSEMI23, CHNXT5023 โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Short ใน Index Futures จำนวน 2,266 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 92,503 สัญญา ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 103 ลบ.
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปิดลบถูกกดดันจาก US 10Yr Bond Yield ปรับเพิ่มขึ้นแตะ 4.167% โดยกลุ่มสื่อสารและวัสดุปรับลดลง กลุ่มเทคโนโลยี Microsoft, Nvidia, Broadcom ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหุ้น Paramount +9% หลังยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros ด้วยวงเงิน 1.084 แสนล้านดอลลาร์ แข่งกับ Netflix ภาพรวมนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนการประชุมเฟดวันที่ 9-10 ธ.ค.โดยนักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 90% คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% หลัง US PCE ล่าสุดสอดคล้องกับการคาดการณ์ รวมถึงรอดูถ้อยแถลงของประธานเฟด รายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ตัวเลขประมาณการ GDP อัตราว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
- ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบถูกกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้น ประกอบกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ด้านหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับลงนำโดย Unilever, L’Oreal ส่วนหุ้นยานยนต์ปรับลงจาก Ferrari ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมทางทหารปรับขึ้นจากความไม่แน่นอนเรื่องข้อตกลงสันติภาพรัสเซีย-ยุเครน นักลงทุนยังคงระมัดระวังก่อนการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ ส่วน FTSE อังกฤษถูกกดดันจากกลุ่มที่อยู่อาศัยรวมถึงตลาดแรงงานอังกฤษยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ตลาดยังคงคาดว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.75% ในสัปดาห์หน้า หลังจากตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในเดือน พ.ย.
- ตลาดหุ้นเอเชียปิดบวก ดัชนี Shanghai Composite +54% หนุนจากมุมมองบวกเกี่ยวกับแนวโน้มบริษัทเทคโนโลยีและ AI นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากยอดส่งออกของจีน +5.9%YoY ในเดือนพ.ย. ดีกว่าคาด เทียบ -1.1%YoY ในเดือนต.ค.หลังจากจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้า ด้านดัชนี Nikkei +0.18% หนุนจากคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 1.965% สะท้อนกระแสคาดการณ์ BOJ อาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 18-19 ธ.ค.นี้
- SET วานนี้ -0.97% ปริมาณการซื้อขาย 74 หมื่น ลบ. ต่างชาติซื้อ 1,024 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 915 ลบ. สถาบันขาย 982 ลบ. และรายย่อยซื้อ 873 ลบ. ภาพรวมดัชนีถูกกดดันจากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ DELTA -3.52%(ส่งผลต่อ SET -6.97 จุด) จากความกังวลเกณฑ์ Market Cap Weight ไม่เกิน 10% ของกองทุน Passive Fund ด้านประเด็นเศรษฐกิจอื่น แม้วานนี้ คกก.เศรษฐกิจ ผ่านโครงการ TISA แต่มีโอกาสที่เม็ดเงินเข้าตลาดทุนอาจจำกัดจากการกำหนดเพดานลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 8แสนบาท/ปี ส่วนหุ้นกลุ่มที่พยายามเข้ามาพยุงดัชนี คือ กลุ่มปลอดภัย เช่น กลุ่มสื่อสาร และ กลุ่มโรงพยาบาล รวมถึงหุ้นที่ปัจจัยบวกเฉพาะรายตัว เช่น MINT +6.67% รับข่าวบวกการลงทุนเพิ่มในธุรกิจกาแฟ Blendco Holding Pty. Ltd. ทั้งนี้ ประเด็นการลงทุนในประเทศที่ยังต้องติดตาม ได้แก่ 1.การประชุมครม.วันนี้ 2.สถานการณ์การเมืองหลังเปิดสภา 3.ชายแดนไทย-กัมพูชา และ 4.การประชุมกนง. 17 ธ.ค.68.
Daily Strategy
- ประเมินดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,245-1,255 จุด แนวต้าน 1,265-1,275 ภาพรวมดัชนีย่อตัวจากแรงขายหุ้นใหญ่ ทยอยซื้อกลุ่ม Defensive สื่อสาร-ร.พ. ADVANC, TRUE, BDMS หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของ กนง.SAWAD, MTC, CPALL, ERW, MINT, CENTEL
- TACC* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 6.45 บาท) งวด3Q68 รายงานกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท +14%QoQ, +48%YoY มีปัจจัยหนุนจากรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแผนการขยายสาขาของ 7-11 และร้านกาแฟพันธ์ไทย ด้าน GPM ทรงตัวในระดับ 32% แม้ต้นทุนเมล็ดกาแฟเพิ่มขึ้น QoQ เช่นเดียวกับ SG&A ที่ทรงตัวได้สะท้อนการบริหารค่าใช้จ่ายได้ดี แนวโน้ม 4Q68 คาดรายได้และกำไรเร่งขึ้นตาม seasonal ส่วนในปี 69 ตั้งเป้ารายได้โต 10-15%YoY ตามจำนวนร้านกาแฟพันธ์ไทยที่เร่งขยายสาขา ส่วน 7-11 จะเน้นเพิ่มสินค้าใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อขยายฐานลูกค้า คาดรักษา GPM 32% ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68-69 ที่ 310 ล้านบาท +26%YoY และ 334 ล้านบาท +8%YoY valuation ปัจจุบัน PER ราว 10 เท่า Yield 9-10%
- GLOBAL* (ซื้อเก็งกำไร/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 7.90 บาท) ระยะสั้นคาดได้ Demand การซ่อมแซมหลังน้ำท่วม ด้านกำไรสุทธิ 3Q68 อยู่ที่ 392 ลบ.(+8%YoY,-25%QoQ) อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล ส่วน YoY สามารถเป็นบวกได้แม้ SSSG -0.89%YoY แต่ชดเชยด้วยสาขาใหม่และการเพิ่มยอดสินค้าHouse Brand(ส่งผลบวกต่อ GPM) ทั้งนี้ ในส่วนของภาพการดำเนินงานปกติ 4Q68-1Q69 คาดว่า QoQ มีโอกาสบวกได้ตามฤดูกาล ปัจจุบัน ตลาดคาดกำไรสุทธิในปี68 และ69 ของ GLOBAL* จะอยู่ที่ 2,048 ลบ.(-14%YoY) และ 2,267 ลบ.(+11%YoY)
Daily Key Factors
Oil Update(-) WTI ม.ค.-$1.20 อยู่ที่ $58.88 / บาร์เรล, Brent ก.พ. -$1.26 อยู่ที่ $62.49/บาร์เรล ปรับลดลงหลังมีข่าวอิรักกลับมาดำเนินการผลิตน้ำมันที่ West Qurna2
Gold Update(+) Comex Gold ก.พ. -$25.30 อยู่ที่ $4,217.70 /ออนซ์ มีแรงขายทำกไรก่อรการประขุมธนาคารกลางสหรัฐฯวันที่ 10 ธ.ค.นี้ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยหรือไม่
Fund Flow(+) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ซื้อสุทธิ +35.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทย +32.12 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นอินโดฯ +3.16 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดทำการ
(+) ค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าอยู่ที่ 31.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับตัวบวกอยู่ที่ 4.1643 %
(-) ดัชนี BDI วานนี้ -33 อยู่ที่ 2,694
(-) BitCoin เช้านี้ -0.29% อยู่ที่ 90,424 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
17 ธ.ค. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งที่ 6/2568
สัปดาห์ที2 ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน
สัปดาห์ที3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม
ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วน
ยานยนต์
ต่างประเทศ
09 ธ.ค. US ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTS (ก.ย.)
10 ธ.ค. US ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ( ต.ค.)
11 ธ.ค. US การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของ FOMC
US การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
Theme Strategy
เลือกหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายหลักของรัฐบาลอนุทิน (รัฐบาลระยะสั้น 4 เดือน) เร่งใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Quick wins, วงจรดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง และ Earning momentum / Seasonal 3Q68-4Q68
(1) ค้าปลีก / บริโภค นโยบายคนละครึ่งพลัส – กระตุ้นกำลังซื้อ, ลดค่าใช้จ่าย CPAXT*, BJC, TNP*, KK*, MOTHER*, ICHI*, CBG*
(2) การเงิน / นอนแบงค์ นโยบายแก้ปัญหาหนี้สิน เพิ่มสภาพคล่อง SME, คาดการณ์ลดดอกเบี้ยนโยบาย MTC*, SAWAD*, TIDLOR*, KTC*, NCAP*, SINGER*, SGC*, FSMART*, AP*, SPALI*, CPN*, DIF*, 3BBIF*
(3) รับเหมาก่อสร้าง เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ โครงการก่อสร้างภาครัฐ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน STECON, CK, SEAFCO*, PYLON*
(4) ท่องเที่ยว ฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว, มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ AOT, CENTEL*, ERW*
(5) ไอซีที / ดิจิทัล ปราบปรามภัยไซเบอร์, การลงทุนด้าน Digital, Cyber Security, Data Center ADVANC, DELTA*, GULF*, BGRIM*, BCPG*, SECURE*
(6) ด้านสาธารณสุข ศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอและเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งฟรีทุกจังหวัด KTMS*, BIZ* ลดค่ายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชน การเปิดเผยราคายาให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในซื้อยาเองได้ HL* (เก็งกำไร)
(7) Solar ภาคประชาชน, มาตรการลดหย่อยภาษี Solar rooftop ครัวเรือน / Direct PPA GULF*, GUNKUL*
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 50% Fixed Income 35% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio October 2025: WHAUP*, BDMS, ADVANC, AMATA, TOP,PTT
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Meena Tunlayanitigun
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 033662
Tel 02-829-6999 Ext 2201
Email : meena.tu@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th