Gulf Development (GULF TB)
ฐานการเติบโตแข็งแกร่ง พร้อมอัพไซด์ส่วนเพิ่ม
เพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” พร้อมเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 50 บาท
เราปรับคำแนะนำ GULF จาก ถือ เป็น ซื้อ และปรับราคาเป้าหมายแบบ SOTP เพิ่มขึ้น 11% จาก 45 บาทเป็น 50 บาท โดยมองว่า GULF เป็นบริษัทที่มีพอร์ตโฟลิโอแข็งแกร่งและได้รับผลกระทบน้อยจากปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนของราคาพลังงานหรือค่าไฟฟ้าภายในประเทศ ขณะเดียวกันโครงการในมือที่มีศักยภาพช่วยสนับสนุนการเติบโตระยะยาว เราเชื่อว่า GULF จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการประมูลกำลังผลิตใหม่ของภาครัฐในปีหน้า ทั้งโครงการ Quick Big Win และแผน PDP ฉบับใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้
การเติบโตเพิ่มเติมจากแผน PDP และดีลซื้อกิจการ (M&A)
สำหรับศักยภาพการเติบโตเพิ่มเติมภายใต้ PDP และโอกาสในการทำดีล M&A นั้น GULF อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ โดย PDP ใหม่มีแนวโน้มปรับความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและเร่งสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะทำให้ต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานดั้งเดิมเพิ่มเติมเพื่อคงเสถียรภาพของระบบ และจากความเชี่ยวชาญของบริษัทในฐานะผู้พัฒนาโรงไฟฟ้า IPP ทำให้ GULF อาจได้รับกำลังผลิตใหม่ โดยทุก 1GW ใหม่ตามการวิเคราะห์ความอ่อนไหวต่อสมมติฐานอาจช่วยหนุนกำไรเพิ่มขึ้นราว 6% และเพิ่มราคาเป้าหมายราว 3% ในกรณีของ M&A งบดุลที่แข็งแกร่งของ GULF ช่วยให้สามารถขยายการลงทุนได้ต่อเนื่อง โดยทุกการลงทุนมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับโซลาร์ฟาร์มประมาณ 300MW จะเพิ่มอัพไซด์ต่อทั้งกำไรและราคาเป้าหมายได้ประมาณ 1% ซึ่งตอกย้ำศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของบริษัท
กำไรหลักเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 8% ใน 5 ปี
ในแง่ของกำไรหลัก เราคาดการณ์ว่าในช่วงปี 68-73 บริษัทจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8% ภายใต้งานก่อสร้างกำลังผลิตใหม่รวมราว 2.6GWe ทั้งในโรงไฟฟ้าพลังานดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียน โดยคาดว่ากำไรหลักจะเติบโตปีละ 3–4% ในช่วงปี 69-71 และเร่งตัวขึ้นเป็น 12–19% ต่อปีในช่วงปี 72-73 จากการทยอยรับรู้รายได้จากกำลังผลิตใหม่ เช่น โครงการ Burapa IPP 210MWe โครงการโซลาร์และระบบกักเก็บพลังงาน BESS ในประเทศ 909MWe โครงการโรงไฟฟ้าลมในประเทศ 300MWe และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง 292MWe
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568-70 ขึ้น 25-30%
เราปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 68-70 ขึ้น 25%, 28% และ 30% ตามลำดับ สะท้อนปัจจัยหลักสี่ประการ ได้แก่ การปรับลดสมมติฐานอัตราภาษีให้สอดคล้องกับอัตราจริงในงวด 9M68 ที่ระดับ 11% รายได้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้า Jackson จากราคาค่าความพร้อมจ่ายในตลาด PJM โดยเราปรับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 32%, 37% และ 38% ในแต่ละปี รายได้เงินปันผลจาก KBANK (KBANK TB, ราคาปิด 190.50 บาท, ถือ, ราคาเป้าหมาย 170 บาท) ซึ่งบริษัทถือหุ้น 4.5% คิดเป็นรายได้ประมาณ 1.2–1.4 พันล้านบาท และการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่รวม 1GW ทั้งของบริษัทเองและโครงการร่วมทุนในช่วงปี 69-73
Natchaphon Rodjanarowan
natchaphon.rodjanarowan@maybank.com
(66) 2658 5000 ext 1393