สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4 ธันวาคม 2568)---------KEY SUMMARY
SCB EIC คาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ผลผลิตและความต้องการบริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน จากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.9 ล้านตัน ตามเนื้อที่ให้ผลและผลผลิตต่อไร่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณฝนที่เพียงพอ ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 6.8%YOY มาอยู่ที่ 33.9 บาท/กิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกจะเพิ่มขึ้น จากผลผลิตโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถั่วเหลือง (สินค้าทดแทนน้ำมันปาล์ม) ที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2026 ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก ทั้งนี้แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน โดยเป็นผลมาจากปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลผลิตส่วนเกิน ประกอบกับความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลและเพื่อบริโภคในประเทศจะเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเป็นสินค้าทดแทน การเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานทางเลือกของไทยและอินโดนีเซีย และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการบริโภค ผลผลิตและราคาน้ำมันปาล์มดิบ
อนึ่ง อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มกำลังเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน โดยในปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีกำลังการผลิตเพื่อแปรรูปปาล์มน้ำมันสูงกว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันราว 1 เท่า ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาผลปาล์มน้ำมันมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันปาล์มที่ผันผวนสูงและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการแข่งขันกันพัฒนาความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านราคาและมุ่งสู่ความยั่งยืน โดยบริษัทที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สามารถจัดการความเสี่ยงด้านราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำ และมีการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
Industry overview
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีผู้เกี่ยวข้องที่หลากหลาย โดยความไม่แน่นอนของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันและสภาพอากาศที่แปรปรวน เป็นความท้าทายสำคัญของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ในปี 2025 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มขยายตัวสอดคล้องกับที่ SCB EIC คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับแรก (เม.ย.)
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเป็นอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย โดยอุตสาหกรรมนี้มีความเชื่อมโยงกับเกษตรกรต้นน้ำในระดับสูง เนื่องจากปริมาณผลปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวได้ จะกระทบต่อปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบที่โรงงานผลิตได้ ซึ่งในปี 2024 ไทยมีผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 3.3 ล้านตัน และมีสต็อกยกมาจากปี 2023 จำนวน 0.3 ล้านตัน คิดเป็นผลผลิตที่ได้รวม 3.6 ล้านตัน โดยผลผลิตที่ได้โดยส่วนใหญ่ราว 69.9% หรือ 2.5 ล้านตันจะใช้ในประเทศ ทั้งการนำไปกลั่นให้กลายเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันโอเลอินจำนวน 1.5 ล้านตัน (57.7% ของการใช้ในประเทศ) และการนำไปใช้ผลิตไบโอดีเซล 1.1 ล้านตัน (42.3% ของการใช้ในประเทศ) โดยน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์จะถูกนำไปใช้เป็นน้ำมันทอดในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนน้ำมันโอเลอินจะถูกนำไปใช้บริโภคในภาคครัวเรือน โดยความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มในประเทศจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและส่วนต่างราคาน้ำมันปาล์มและราคาน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เช่น ถั่วเหลือง ในขณะที่ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลจะขึ้นอยู่กับนโยบายกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลของภาครัฐเป็นหลัก สำหรับผลผลิตที่ได้อีก 24.5% หรือ 0.9 ล้านตัน จะถูกใช้เพื่อส่งออก โดยในปี 2024 มูลค่าการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 26,297 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปอินเดียคิดเป็น 98.8% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งในการส่งออก ไทยจะต้องเผชิญการแข่งขันกับผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินโดนีเซีย (ปี 2024 ส่งออก 22.3 ล้านตัน) และมาเลเซีย (ปี 2024 ส่งออก 16.5 ล้านตัน) ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย ทำให้ภาครัฐต้องอุดหนุนส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ กิโลกรัมละ 2 บาท ในช่วงที่ผลผลิตเกินความต้องการบริโภคในประเทศจนทำให้ระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 0.3 ล้านตัน ทั้งนี้ผลผลิตที่ได้อีก 5.6% จะเหลือเก็บไว้เป็นสต็อกในประเทศ
ในช่วงปี 2022-2024 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มต้องเผชิญกับความท้าทายจากความไม่แน่นอนของนโยบายพลังงานทางเลือกของภาครัฐ ความไม่แน่นอนด้านการดำเนินนโยบายน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียและปัญหาภัยแล้ง โดยในปี 2022 ปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซลหดตัวสูงถึง 19.8%YOY จากการที่ภาครัฐมีนโยบายปรับสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ลงจาก B7, B10 และ B20 มาอยู่ที่ B5 (ผสมไบโอดีเซล 5 ส่วน ต่อน้ำมันดีเซล 95 ส่วน) เพื่อลดต้นทุน B100 ที่สูง และต่อมาปรับเป็น B7 (ม.ค. 2023 - ต.ค. 2024) ก่อนลดลงเป็น B5 อีกครั้งตั้งแต่ พ.ย. 2024 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิต B100 มีความไม่แน่นอนสูงและยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงนโยบายในปี 2021 นอกจากนี้ นโยบายควบคุมการส่งออกของอินโดนีเซีย (ผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบอันดับ 1 ของโลก) ทำให้ราคาผันผวนรุนแรง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 อินโดนีเซียมีนโยบายควบคุมการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 53.2 บาทต่อกิโลกรัม แตกต่างจากช่วงครึ่งปีหลัง ที่ราคาโดยเฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 33.9 บาทต่อกิโลกรัม หรือปรับตัวลดลงสูงถึง 36.2% เนื่องจากอินโดนีเซียมีการยกเลิกนโยบายควบคุมการส่งออก โดยราคาที่ผันผวนรุนแรงสร้างความท้าทายต่อการบริหารสินค้าคงคลังของผู้ประกอบการไทย ส่วนปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในปี 2023 มีส่วนทำให้ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันปรับตัวลดลง 4.5%YOY
สำหรับปี 2025 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มขยายตัวสอดคล้องกับที่ SCB EIC คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับแรก (เม.ย.) โดยมีปัจจัยหนุนจากผลผลิตและราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ความต้องการบริโภคจะลดลง โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.5%YOY ส่งผลให้ทั้งปีผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 6.3%YOY มาอยู่ที่ 3.5 ล้านตัน สอดคล้องกับปริมาณผลผลิตผลปาล์มน้ำมันสดที่มีแนวโน้มอยู่ที่ 19.5 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.8%YOY ตามปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปกติ ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.8%YOY มาอยู่ที่ 36.9 บาท/กิโลกรัม โดยทั้งปีคาดว่าราคาจะอยู่ที่ 36.4 บาท/กิโลกรัม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.5%YOY เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกมีแนวโน้มลดลง จากความต้องการบริโภคโลกที่จะปรับตัวเร่งขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลใหม่ของอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันปาล์มดิบอันดับ 1 ของโลกประกาศเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก B35 เป็น B40 ในปี 2025 สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 ปรับตัวลดลง 0.6%YOY ส่งผลให้ทั้งปีอุปสงค์มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 1.1%YOY จากความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลที่จะปรับตัวลดลง ตามนโยบายลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลของภาครัฐ
Industry outlook and trend
SCB EIC คาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ผลผลิตและความต้องการบริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบปี 2026 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน (+1.8%YOY) ตามผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น 19.9 ล้านตัน จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกในปี 2023 ที่เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ ประกอบกับผลผลิตต่อไร่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมัน (รูปที่ 2) ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 6.8%YOY มาอยู่ที่ 33.9 บาท/กิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลผลิตปาล์มน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะในมาเลเซียที่ปัญหาภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสินค้าทดแทน มีแนวโน้มลดลงในปี 2026 ยังเป็นอีกปัจจัยที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (รูปที่ 3) ทั้งนี้ แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก (รูปที่ 4) สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน (+2.8%YOY) ตามความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 0.87 ล้านตัน จากการใช้น้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่ความต้องการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว 1.2%YOY มาอยู่ที่ 1.50 ล้านตัน ตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ส่วนปริมาณการส่งออกคาดว่าจะอยู่ที่ 1.05 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.0%YOY จากผลผลิตส่วนเกินในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยความต้องการบริโภคที่ต่ำกว่าผลผลิตจะทำให้สต็อกน้ำมันปาล์มดิบปลายปี 2026 เพิ่มขึ้นเป็น 0.47 ล้านตัน จาก 0.35 ล้านตันในปี 2025
อนึ่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในปี 2026 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลก นโยบายพลังงานทางเลือกของไทยและอินโดนีเซีย และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง โดยภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลก จะกระทบต่อความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์ม ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกและไทยมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากผลกระทบของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่รุนแรงกว่าคาด และราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลกลดลงมากกว่าคาด ก็จะส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มเติบโตต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบโลกและไทยอาจลดลงมากกว่าคาด ในขณะที่นโยบายพลังงานทางเลือกของไทย จะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซล โดยหากภาครัฐมีนโยบายปรับสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซลไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า B5 ก็จะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยปรับตัวลดลงได้ นอกจากนี้ หากรัฐบาลอินโดนีเซียเริ่มบังคับใช้นโยบาย B50 (ปัจจุบัน B40) เร็วกว่าที่วางแผนไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 จนทำให้อินโดนีเซียส่งออกน้ำมันปาล์มได้น้อยลงหรือมีนโยบายควบคุมการส่งออก ก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกพลิกกลับมาขยายตัว และทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ ส่วนความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบ โดยหากไทยเผชิญภัยแล้งหรือน้ำท่วม ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบอาจเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด หรืออาจลดลง
ในระยะต่อไป อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และกระแสความยั่งยืน โดยมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต เช่น การเก็บภาษีคาร์บอนทั้งในและต่างประเทศ จะทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมกะเทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability) จะทำให้ผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลมากขึ้นในอนาคต ซึ่งกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2025 เป็นตัวอย่างความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นจากกระแสความยั่งยืน โดย EUDR กำหนดให้ผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าน้ำมันปาล์มไปยังตลาด EU จะต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบว่าจะต้องมาจากพื้นที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยคว้าส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มใน EU เพิ่มขึ้น เนื่องจาก EU จัดไทยอยู่ในกลุ่ม “เสี่ยงต่ำ” จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มจากไทยไปยัง EU จะได้รับสิทธิพิเศษ ในการไม่ต้องดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Due diligence) ในทุกขั้นตอน กล่าวคือ ผู้นำเข้าจะต้องดำเนินการเฉพาะในขั้นตอนที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูล แต่ไม่ต้องดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 ประเมินความเสี่ยงและขั้นตอนที่ 3 ลดความเสี่ยงในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและมีต้นทุนสูง โดยต้นทุนการนำเข้าจากไทยที่ต่ำกว่าการนำเข้าจากอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับทุกขั้นตอน จะช่วยให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้น และเปิดโอกาสให้ไทยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มใน EU จากในปี 2024 ที่มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.3% (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความ EU จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำด้านการตัดไม้ทำลายป่า หนุนโอกาสส่งออก ‘ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน’ สู่ตลาดยุโรป )
Competitive landscape
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน โดยผู้เล่นจะเน้นแข่งขันกันในด้านการจัดหาวัตถุดิบ ลดต้นทุน บริหารความเสี่ยงด้านราคาและมุ่งสู่ความยั่งยืน
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยมีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการกลางน้ำของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขยายกำลังการผลิตอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม มีการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 105 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 2007 มาอยู่ที่ 340 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 2023 พร้อมกันนั้น อุปสรรคในการเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้จำนวนโรงสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นจาก 43 โรงงานในปี 2003 มาอยู่ที่ 120 โรงงานในปี 2024 ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นจาก 13 โรงงานมาอยู่ที่ 22 โรงงานในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งการขยายกำลังการผลิตของผู้เล่นกลางน้ำที่ไม่สอดคล้องกับการขยายพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรต้นน้ำ ทำให้เกิดภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน สะท้อนได้จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ที่ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2021 - 2024 อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 55.3% และ 38.0% ตามลำดับ ซึ่งต่างจากมาเลเซีย (ข้อมูลจากคณะกรรมการน้ำมันปาล์มมาเลเซีย (MPOB)) ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 61.4% และ 61.4% ตามลำดับ
ผู้ประกอบการจะเน้นแข่งขันในด้านการจัดหาวัตถุดิบ การลดต้นทุนการผลิต การบริหารความเสี่ยงด้านราคาและการมุ่งสู่ความยั่งยืน ภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาผลปาล์มน้ำมันมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยลง โดยผู้ประกอบการจะใช้กลยุทธ์ด้านราคาและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร เพื่อดึงดูดให้เกษตรกรนำผลปาล์มสดมาขายให้โรงงาน พร้อมกันนั้น ผู้ประกอบการก็มีการแข่งขันกันลดต้นทุนการผลิต ผ่านการขยายกำลังการผลิต เพื่อใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of scale) และเน้นพัฒนาความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านราคา ผ่านการบริหารจัดการสต็อก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังมีการแข่งขันในด้านการมุ่งสู่ความยั่งยืน เช่น การลดการใช้น้ำ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบด้านความยั่งยืน เป็นต้น ดังนั้น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สามารถจัดการความเสี่ยงด้านราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำ และมีการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ในปี 2024 บริษัทน้ำมันปาล์ม 10 อันดับแรกมีส่วนแบ่งรายได้รวม 41.2% ของรายได้ทั้งหมดในหมวดธุรกิจการผลิตน้ำมันปาล์ม โดยจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม มีส่วนแบ่งรายได้มากเป็นอันดับ 1 ที่ 7.5% ตามมาด้วย พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ (5.6%), ล่ำสูง (4.8%), ไทยทาโลว์แอนด์ออยล์ (3.9%), สุขสมบูรณ์น้ำมันปาล์ม (3.6%), กลุ่มสมอทอง (3.6%), เอส.พี.โอ.อะโกรอินดัสตรี้ส์ (3.3%), ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (3.1%), กลุ่มปาล์มธรรมชาติ (3.0%) และธนาปาล์มโปรดักส์ (2.8%) โดยในระยะต่อไป คาดว่าส่วนแบ่งรายได้จะกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตของผู้เล่นรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวลดลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กแข่งขันได้ยากและทยอยออกจากตลาด