สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(2 ธันวาคม 2568)-----------ซีพี เปิดเวที “CP Sustainability Synergy Forum 2025” ยกระดับงานความยั่งยืนทั้งเครือสู่การเป็น “CP Sustainability Center of Excellence (COE)” ศูนย์กลางมาตรฐานความยั่งยืนครบมิติ เพื่อเร่งขับเคลื่อนธุรกิจสร้างคุณค่าต่อประเทศ สังคม และโลก พร้อมเปิด 3 กรณีศึกษาจาก 3บริษัทในเครือขับเคลื่อน 3 Big Goals
2 ธันวาคม 2568, ทรูดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ - เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี โดย สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล และสื่อสารองค์กร (SGC) ได้จัดการประชุม “CP Sustainability Synergy Forum 2025” ถือเป็นเวทีความยั่งยืนครั้งสำคัญของซีพี เพื่อผนึกกำลังและยกระดับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของทุกกลุ่มธุรกิจให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยพัฒนาบทบาทของ สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล และสื่อสารองค์กร ให้ทำหน้าที่เป็น “CP Sustainability Center of Excellence (COE)” หรือ “ศูนย์กลางด้านความยั่งยืนแบบรวมศูนย์ทั้งภายในภายนอกตลอดห่วงโซ่คุณค่า” ที่เชื่อมโยงมาตรฐาน เครื่องมือ และระบบการบริหารจัดการร่วมกันทั้งภายในและภายนอกตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อให้ทุกบริษัทในเครือขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งให้ซีพีตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่าต่อสังคม ประเทศ และโลกไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจ โดยมี ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วยผู้บริหารด้านความยั่งยืนของสำนัก SGC ได้แก่ นายสมเจตนา ภาสกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืน นางรงค์รุจา สายเชื้อ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านธรรมาภิบาล ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้ช่วยผู้บริหารประธานคณะผู้บริหาร และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานความร่วมมือระหว่างประเทศ นายวรวิทย์ วรุตบางกูร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ (Corporate Compliance) และนางสาวพิไลลักษณ์ พิชัยวัตต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ ร่วมร่วมประกาศทิศทางใหม่ในการผลักดันซีพีให้เป็นองค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนของประเทศและของโลก ผ่านระบบการทำงานร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่าและทุกกลุ่มธุรกิจของเครือที่เรียกว่า “CP Sustainability Center of Excellence (COE)”
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอกรณีศึกษาความสำเร็จเชิงรูปธรรมจากโครงการต่าง ๆ ของบริษัทในเครือที่ช่วยผลักดัน 3 Big Goals ตามหมุดหมายของซีพี ได้แก่ 1. การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดย นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด(มหาชน)ใน โครงการตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 2. การลดของเสียสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ภายในปี 2030 โดย นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพีเเอ็กซ์ตร้า จำกัด(มหาชน) 3.การส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม โดย ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) ทั้งนี้โดยมีผู้บริหารด้านความยั่งยืนจากบริษัทต่างๆในเครือ นักวิชาการ และผู้มีส่วนได้เสียร่วมในเวทีสำคัญครั้งนี้ด้วย
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ความยั่งยืนเป็นวาระสำคัญของโลก ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวต่อความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน ปริมาณขยะที่เพิ่มสูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ตลอดจนภัยคุกคามทางไซเบอร์ และกฎเกณฑ์ด้านธรรมาภิบาลที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งล้วนเป็นแรงกดดันให้ทุกองค์กรต้องเปลี่ยนผ่านสู่ระบบความยั่งยืนที่ “ตรวจสอบได้–มีมาตรฐาน–และวัดผลได้จริง” การขับเคลื่อนครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายสำคัญของ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือซีพี ที่ย้ำให้ทุกกลุ่มธุรกิจ “ทำความยั่งยืนให้เป็นเนื้อเดียวกับธุรกิจ” ไม่ใช่งานคู่ขนาน แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ การดำเนินงาน และการตัดสินใจทุกระดับ เพื่อให้การเติบโตของซีพีเป็นไปควบคู่กับความรับผิดชอบต่อประเทศและสังคมตามค่านิยม “3 ประโยชน์” คือ ประโยชน์ต่อประเทศ ประโยชน์ต่อประชาชน และประโยชน์ต่อองค์กร ซึ่งเป็นเข็มทิศนำทางเครือเจริญโภคภัณฑ์มากว่า 100 ปี”
จากบริบทดังกล่าว ซีพีจึงพัฒนาบทบาทของ สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาลและสื่อสารองค์กร ซึ่งเป็น หน่วยงานกลางด้านความยั่งยืนของซีพีให้ทำหน้าที่เป็น CP Sustainability Center of Excellence (COE) หรือ “ศูนย์กลางด้านความยั่งยืนแบบรวมศูนย์ทั้งภายในภายนอกตลอดห่วงโซ่คุณค่า” เพื่อรวมมาตรฐานด้านความยั่งยืนของทั้งเครือไว้ในกรอบเดียว ยกระดับการพัฒนา ESG และการลดคาร์บอน ส่งเสริมความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านความยั่งยืน ผลักดันการจัดทำข้อมูลเพื่อรองรับมาตรฐานสากล และสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือเพื่อเพิ่มผลกระทบเชิงบวกในระดับประเทศและระดับโลก
“สำหรับซีพี ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ ‘ทำรายงาน’ แต่ต้องสร้างนวัตกรรมและคุณค่าทางธุรกิจไปพร้อมกัน เราจึงยกระดับการทำงานสู่ CP Sustainability Center of Excellence ซึ่งเป็นระบบกลางในการบูรณาการยุทธศาสตร์ความยั่งยืนให้เป็นเนื้อเดียวกับธุรกิจ โดยโฟกัสใน 8 มิติสำคัญ ได้แก่
1. ผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ยั่งยืนและสร้างรายได้ (Sustainable Products & Solutions)
2. การให้บริการยกระดับมาตรฐาน ESG แก่ธุรกิจในเครือ (ESG Services to Internal BUs)
3. การให้คำปรึกษาและรับรองมาตรฐานแก่ภายนอก (External Consulting & Certification)
4. การบริหารจัดการและสร้างมูลค่าคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)
5. กลไกการเงินและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Green Finance & Investment Funds)
6. การเปลี่ยนของเสียให้เป็นคุณค่าทางธุรกิจ (Waste-to-Value Ecosystem)
7. การต่อยอดแบรนด์เพื่อสร้างมูลค่าเชิงพรีเมียมและการอนุญาตใช้ประโยชน์ตามสิทธิ (Brand Premium & Licensing Model) และ
8. การสร้างมูลค่าจากข้อมูลและระบบดิจิทัล (Data Monetization)
หัวใจของการสร้าง CP Sustainability Center of Excellence คือการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนกำหนดเจ้าของเรื่องที่รับผิดชอบจริง ดึงพันธมิตรทั้งภายในและภายนอกมาร่วมขับเคลื่อน พร้อมมีแรงจูงใจ แหล่งเงินทุน เทคโนโลยี และการแบ่งปันความรู้ในองค์กร เพื่อให้ความยั่งยืนไม่ใช่แค่โครงการชั่วคราว แต่เป็นระบบการสร้างธุรกิจที่สร้างอิมแพ็คต่อประเทศและสังคมอย่างแท้จริง” ดร.ธีระพล กล่าวย้ำ
ขณะที่นายสมเจตนา ภาสกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืน สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล และสื่อสารองค์กร กล่าวว่า “ซีพีขับเคลื่อนภารกิจด้านความยั่งยืนมากว่า 10 ปี สะท้อนความตั้งใจและความเชื่อร่วมกันของทั้งองค์กร โดยยึดแนวคิดจากซีอีโอศุภชัย เจียรวนนท์ ที่เน้นว่า ‘ความยั่งยืนต้องเป็นเนื้อเดียวกับธุรกิจ’ ต้องฝังอยู่ในกลยุทธ์ การดำเนินงาน และการตัดสินใจ และเปลี่ยนจากการเป็นผู้ตาม Best Practice ไปสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Lead the Change) เครือฯ จึงเดินหน้าสู่การเป็น Center of Excellence ที่สร้างผลลัพธ์ทั้งภายในองค์กรและขยายไปยังซัพพลายเออร์และพันธมิตรใน Value Chain ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”
ด้านนางรงค์รุจา สายเชื้อ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านธรรมาภิบาล กล่าวว่า “ธรรมาภิบาลไม่ใช่แค่นโยบาย แต่คือ ‘เข็มทิศ’ ที่กำหนดทิศทางการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกธุรกิจ กุญแจสำคัญคือต้องมีกติกาและ Code of Conduct ชุดเดียวกันทั้งองค์กร มีโครงสร้างการกำกับดูแลที่ชัดเจน และมีเครื่องมือที่ใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเช็กลิสต์ ไกด์ไลน์ หรือระบบ e-learning ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบของ CP Sustainability Center of Excellence เมื่อคนทำงานเข้าใจ ก็จะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้” และได้กล่าวต่อไปว่า “บทบาทสำคัญของธรรมาภิบาลอยู่ที่ BU Champion และ BU Network ที่ ‘พูดได้สองภาษา’ คือเข้าใจภาษานโยบายขององค์กร และแปลให้เป็นภาษาปฏิบัติที่คนหน้างานเข้าใจง่าย เมื่อทุกคนมีส่วนร่วม ธรรมาภิบาลจะกลายเป็นวัฒนธรรมด้านจริยธรรมและความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ถ้อยคำบนกระดาษ แต่เป็นกรอบคิดในการทำงานของทุกคน”
นายวรวิทย์ วรุตบางกูร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กล่าวว่า “ความโปร่งใสและความปลอดภัยคือรากฐานของความเชื่อมั่น และเป็นเงื่อนไขของการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคาดหวังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การจัดตั้ง CP Sustainability Center of Excellence ทำให้ระบบกำกับดูแลและความปลอดภัยของทั้งเครือเดินไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งด้านข้อมูล เครื่องมือ มาตรฐาน และระบบติดตาม เราผสานเทคโนโลยีดิจิทัลกับพลังของบุคลากรจากทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้ Compliance และ Safety เป็นพันธกิจร่วมของทั้งองค์กร เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจกระทบความเชื่อมั่นที่สั่งสมมานาน”
นางสาวพิไลลักษณ์ พิชัยวัตต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ กล่าวว่า “ESG ไม่ใช่ภาระ แต่คือโอกาสในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสร้างความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย องค์กรขนาดใหญ่มีศักยภาพจะเป็นผู้นำ แต่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนในองค์กรร่วมลงมือ ไม่ใช่เป็นเพียงนโยบายบนโต๊ะ เราเชื่อว่าการกระทำเล็ก ๆ เมื่อรวมกันจะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ จึงทำงานร่วมกับชุมชน ภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม และพันธมิตร ในการฟื้นฟูป่าและทะเล ลดคาร์บอน สนับสนุน BCG Economy ผลักดันเกษตรกรรมยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง”
ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้ช่วยบริหารประธานคณะผู้บริหาร และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ (GPO) กล่าวว่า หน่วยงานความยั่งยืนระหว่างประเทศเปรียบเสมือน ‘ประภาคาร’ ที่คอยส่องสว่างมาตรฐานโลก ความเสี่ยง และโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ แล้วแปลงให้เป็นประโยชน์ที่จับต้องได้สำหรับทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมทำหน้าที่กระบอกเสียงขยายศักยภาพของเครือซีพีสู่ประชาคมโลก ผ่านเวทีระดับนานาชาติ ในโลกที่เผชิญทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีและ AI รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนกระทบห่วงโซ่อุปทาน การลงทุน กฎระเบียบ และชื่อเสียงของธุรกิจ แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับองค์กรที่ปรับตัวได้ทันตามมาตรฐานสากล การมีส่วนร่วมบนเวทีโลกและการติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดจึงเป็น ‘ความจำเป็นทางธุรกิจ’ เพื่อเสริมขีดความสามารถและสร้างความแข็งแกร่งระยะยาวให้เครือซีพี”
ในช่วง Call for Action เครือฯ ได้นำ 3 Big Goals ได้แก่ Net Zero 2050, Zero Waste to Landfill 2030 และ Education for Equality มาสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง พร้อมถ่ายทอดผ่านตัวอย่างจากผู้บริหาร 3 กลุ่มธุรกิจ สะท้อนให้เห็นว่าเป้าหมายระดับเครือกำลังแปรเปลี่ยนเป็นการลงมือทำที่จับต้องได้
เริ่มจาก ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานด้านความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ดูแล Connext ED กล่าวว่า “ทรูเชื่อว่าเทคโนโลยีต้องเป็นสะพานให้เด็กทุกคนเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียม เราเริ่มจาก ‘ทรูปลูกปัญญา’ ทำงานกับ 6,000 โรงเรียน สร้างแพลตฟอร์ม VLEARN ให้เด็กทั่วประเทศใช้งานฟรี และต่อมาซีอีโอศุภชัยได้ต่อยอดสู่ Connext ED ที่ดึงทุกภาคส่วนมาร่วมยกระดับการศึกษา วันนี้ School Management System ถูกใช้ในโรงเรียนกว่า 30,000 แห่ง ระดมทุนผ่าน Crowdfunding ได้กว่า 115 ล้านบาท พัฒนา ICT Talent เกือบ 20,000 คน และมี Learning Center กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ เป้าหมายของเราคือให้คนไทย 36 ล้านคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่เท่าเทียมภายในปี 2030 เพราะเด็กไทยทุกคนสมควรมีโอกาส และเราต้องร่วมกันทำให้เกิดขึ้นจริง”
ขณะที่ นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจของซีพีแอ็กซ์ตร้าเป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค เรามีการจัดการขยะอาหารและขยะพลาสติกตลอดห่วงโซ่อุปทานได้ดี โดยทำได้ด้วยนวัตกรรมช่วยยืดอายุสินค้า ใช้ระบบการสั่งสินค้าให้พอดี ใช้ประโยชน์จากอาหารส่วนเกินด้วยนวัตกรรมสีเขียว และทำจุดเก็บขยะพลาสติกในทุกสาขา เพื่อเป้าหมายลดขยะให้เป็นศูนย์ และสร้างมูลค่าสูงสุดทางเศรษฐกิจและสังคม”
นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) เผยถึงโครงการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ว่า “ประเทศไทยมีพื้นที่บุกรุกป่าถึง 66 % ซึ่งมาจากการปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และกากถั่วเหลือง ดังนั้น ระบบการตรวจสอบย้อนกลับของเราเริ่มทำและพัฒนามากว่า 10 ปีแล้ว เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศที่ทำระบบนี้ขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีและระบบดาวเทียมในการตรวจจับ ระบบนี้จะช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ปราศจากการบุกรุกทำลายป่าและการเผาแปลง ซึ่งนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต”
การจัดเวที “CP Sustainability Synergy Forum 2025” และการวางตำแหน่ง CP Sustainability Center of Excellence (COE) ในครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนขององค์กรและห่วงโซ่คุณค่าทั้งระบบเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทของภาคเอกชนไทยในการร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก ผ่านการลงมือทำที่จับต้องได้ ภายใต้ค่านิยม “3 ประโยชน์” เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร ไปพร้อมกับการสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป