Today’s NEWS FEED

News Feed

Krungthai Compassสถานการณ์ข้าวไทยโค้งสุดท้ายปี 2568 หลังอินเดียประกาศระบายสต็อกข้าวครั้งใหญ่ ทิศทางการส่งออกข้าวปี 2569 จะเป็นอย่างไร?

70


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(2 ธันวาคม 2568)---------Key Highlights:

● ราคาส่งออกข้าวขาวไทยต่ำสุดในรอบ 15 ปี โดยราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทย ณ ต.ค. 2568 อยู่ที่ 356 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน หรือลดลง -31%YoY ขณะที่ปริมาณส่งออกข้าวไทยสะสมตั้งแต่ ม.ค.-ต.ค. 2568 อยู่ที่ราว 6.4 ล้านตัน ลดลง -24%YoY จากการแข่งขันในตลาดส่งออกที่รุนแรง หลังจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง

● หากอินเดียระบายสต็อกข้าว 20 ล้านตัน ช่วง ก.ย.2568-ส.ค.2569 โดยทยอยระบายต่อเนื่องเฉลี่ย 1.6 ล้านตัน/เดือน (กรณี Base Case) ประเมินว่าปริมาณส่งออกข้าวไทยปี 2569 จะอยู่ที่ 7.0 ล้านตัน ลดลง -30% จากปี 2567 ส่วนราคาเฉลี่ยส่งออกข้าวขาวไทย 5% ในปี 2569 จะอยู่ที่ 345-380 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

● การส่งออกข้าวของไทยยังมีปัจจัยซ้ำเติมจากความต้องการนำเข้าข้าวของคู่ค้าที่ลดลง เงินบาทที่แข็งค่า รวมถึงการที่สหรัฐฯ กดดันให้คู่ค้าเปิดเสรีนำเข้าข้าว เพิ่มความเสี่ยงไทยถูกแย่งตลาด อีกทั้งข้าวไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามในการมุ่งสู่ตลาดข้าว Low-Emission รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างจากต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง

● Krungthai COMPASS มองว่า อุตสาหกรรมข้าวไทยควรปรับจาก Mass Exporter สู่ Value Exporter เช่น ข้าว GI ข้าวอินทรีย์ หรือข้าว Low Emission และเจาะตลาดใหม่ที่ยังไม่มีผู้เล่นหลัก เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา รวมถึงพัฒนาสายพันธุ์เพื่อเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้รัฐควรสนับสนุนด้าน R&D เพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขันระยะยาว

------------------------
อุตสาหกรรมข้าวไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน ต้นทุนการผลิตที่สูง ตลอดจนการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง พันธุ์ข้าวที่ไม่ตรงตามความต้องการของตลาดโลก และล่าสุดคือการกลับมาทำตลาดข้าวอีกครั้งของประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในเวทีโลก ดังนั้น ในบทความนี้จะชวนมาวิเคราะห์สถานการณ์อุตสาหกรรมข้าวไทยในระยะต่อไปว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร พร้อมทั้งข้อเสนอแนะในการปรับตัวของผู้ประกอบการในการเผชิญความท้าทาย แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น อยากชวนผู้อ่านมาทำความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมข้าวกันก่อนว่าเป็นอย่างไร?

สถานการณ์ของอุตสาหกรรมข้าวในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?

อุตสาหกรรมข้าวไทยอยู่ในช่วงขาลงชัดเจนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 โดยหากพิจารณาด้านราคา พบว่า ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นข้าวส่งออกหลักของไทยมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. 2567 เป็นต้นมา เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาในตลาดส่งออกรุนแรงขึ้น หลังจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่กลับมาทำตลาดส่งออกข้าวอีกครั้งตั้งแต่เดือน ก.ย. ปี 2567 จากที่ก่อนหน้ามีนโยบายจำกัดการส่งออก
โดยราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทย ณ เดือน ต.ค. 2568 อยู่ที่ราว 356 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน หรือลดลง -31%YoY และเป็นระดับราคาส่งออกที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราคาส่งออกข้าวขาว 5% ในปี 2560-2566 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่อินเดียจะจำกัดการส่งออกข้าวซึ่งอยู่ที่ราว 418 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของประเทศคู่แข่งอย่างอินเดีย และเวียดนาม ก็ปรับลดลงแรงเช่นกัน โดยมีราคาอยู่ที่ราว 360-366 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

การกลับมาทำตลาดส่งออกข้าวของอินเดีย ส่งผลกระทบทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยหดตัวชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 หลังจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยในช่วง ม.ค.-ต.ค. 2568 ปริมาณการส่งออกข้าวของไทยอยู่ที่ราว 6.4 ล้านตัน ลดลง -24%YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณการส่งออกข้าวในเดือน ม.ค.-ต.ค. ตั้งแต่ปี 2560-2567 ที่อยู่ที่ราว 6.9 ล้านตัน โดยเฉพาะข้าวขาวซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ปริมาณการส่งออกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง -41%YoY

ปัจจัยกดดันอุตสาหกรรมข้าวในช่วงที่เหลือของปี 2568 จนถึงปี 2569 มีอะไรบ้าง?


Krungthai COMPASS มองว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมข้าวในปี 2568-2569 จะอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อรายได้ และกำไรของผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้อย่างธุรกิจโรงสีข้าว และผู้ส่งออกข้าว นอกจากนี้ ทิศทางราคาข้าวที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในปีหน้า ยังสร้างความเสี่ยงขาดทุนสต็อก ภายใต้แรงกดดันจากหลายความท้าทาย ดังนี้
ความท้าทายที่ 1 การระบายสต็อกข้าวครั้งใหญ่ของอินเดียที่ทำให้เกิดปัญหาอุปทานล้นตลาด
ความท้าทายที่ 2 ความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารของประเทศนำเข้าที่ลดลง จึงพึ่งพาการนำเข้าลดลง
ความท้าทายที่ 3 สหรัฐฯ เร่งเจรจา คู่ค้าเปิดเสรีข้าว กระทบความสามารถในการแข่งขันข้าวไทย
ความท้าทายที่ 4 ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่ายังซ้ำเติมความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก
ความท้าทายที่ 5 ข้าวไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามในการมุ่งสู่ตลาดข้าว Low-Emission
ความท้าทายที่ 6 ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทย ที่ยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง กดดันต้นทุนยังคงสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ

ความท้าทายที่ 1 การระบายสต็อกข้าวของอินเดีย

อินเดียประกาศระบายสต็อกข้าวครั้งใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาอุปทานข้าวโลกล้นตลาด โดยเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 อินเดียประกาศระบายสต็อกครั้งใหญ่ ภายใต้โครงการ Open Market Sale Scheme (OMSS-D) ซึ่งจะมีผลในการทยอยปล่อยข้าวออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วง ก.ย. 2568 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายรวมกว่า 20 ล้านตัน ซึ่งจะกดดันราคาข้าวในตลาดโลกให้ต่ำลง เนื่องจากอินเดียครองสัดส่วนการส่งออกข้าวมากกว่าหนึ่งในสามของโลก ทำให้เกิดภาวะข้าวล้นตลาด (oversupply) ซึ่งจะทำให้ราคาข้าว เช่น ข้าวขาว 5% ถูกกดดันให้ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกคู่แข่งอย่างไทย เวียดนาม และปากีสถาน ที่ต้องปรับลดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ USDA ที่คาดว่าในปี 2568 อินเดียจะส่งออกข้าวได้ราว 23.5 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ราว 63% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 2563-2567 ที่อยู่ที่ราว 17.9 ล้านตัน

การระบายสต็อกข้าวของอินเดียจะกระทบต่อปริมาณส่งออกและราคาส่งออกข้าวไทยแค่ไหน?


Krungthai COMPASS คาดว่า การระบายสต็อกข้าวของอินเดียจะทำให้ราคาและปริมาณส่งออกข้าวไทยลดลง โดยในปี 2568 คาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ราว 405 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน สอดคล้องกับการประเมินของ World Bank ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 406 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนในปี 2569 ประมานการโดยใช้สมการถดถอย (Regression Model) กำหนดให้อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการค้าข้าวโลก เป็นตัวแปรต้น (ปริมาณการค้าข้าวโลกเป็นปัจจัยที่สะท้อนอุปทานข้าวโลกได้ระดับหนึ่ง เพราะเมื่อปริมาณการค้าข้าวโลกเพิ่มขึ้น อาจหมายความว่ามีอุปทานในประเทศเหลือมากจนต้องระบายส่งออก) พบว่า ความยืดหยุ่นของอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาข้าวไทยต่อการประเมินดังกล่าวสอดคล้องกับงานศึกษาของ Durand-Morat & Wailes (2018) จาก University of Arkansas ที่พบว่า หากปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ราคาข้าวเฉลี่ยในตลาดโลกลดลงประมาณ 0.6–0.8% เช่นเดียวกับผลการศึกษาของ Gilbert (2010) ที่ชี้ว่าความผันผวนของราคาข้าวส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการค้าข้าวรวมในตลาดโลกและนโยบายการค้าของประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่


ส่วนปริมาณส่งออกข้าวไทยในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 7.2 ล้านตัน หรือลดลง -28%YoY สอดคล้องกับการประเมินของ USDA ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 7.2 ล้านตัน ส่วนในปี 2569 ประมาณการโดยสมการถดถอย ซึ่งกำหนดให้อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณการส่งออกข้าวอินเดีย เป็นตัวแปรต้น พบว่า ความยืดหยุ่นของการส่งออกข้าวไทยต่อการส่งออกข้าวอินเดียมีค่า -0.2 ซึ่งหมายถึง หากอินเดียมีปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยลดลงราว -0.2% แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงผกผันระหว่างกัน ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดส่งออกข้าวโลกระหว่างไทยกับอินเดีย

 

อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลก (Price Elasticity) มีค่าที่ราว -0.4 ซึ่งหมายถึงเมื่อปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% ราคาข้าวไทยจะลดลงราว -0.4%


ทั้งนี้ ในการประเมินผลกระทบจากการระบายสต็อกของอินเดีย แบ่งเป็น 3 กรณี โดยคำนึงถึงปริมาณและจังหวะการระบายข้าว และมีสมมติฐานว่า มาตรการระบายข้าวของอินเดียจะมีผลต่อราคาและปริมาณการส่งออกข้าวของไทย ส่วนประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อื่นๆ เช่น เวียดนามและปากีสถาน ปริมาณส่งออกข้าวจะเติบโตตามศักยภาพ (Potential Growth) โดยไม่ได้มีมาตรการเร่งระบายสต็อกข้าวเหมือนอินเดีย นอกจากนี้ยังไม่รวมผลจากปัจจัยภายนอกอื่น เช่น ปัจจัยสงครามการค้า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

 

1. กรณีฐาน กำหนดให้อินเดียระบายสต็อกข้าวทั้งหมด 20 ล้านตัน เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568-ส.ค. 2569 ซึ่งจะทำให้ในระยะเวลาดังกล่าวอุปทานข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยอ้างอิงข้อมูลการระบายข้าวของอินเดียจากบทความ India’s unloading of 20m tonnes of rice will plunge Thai prices, exporter warns


2. กรณีดีที่สุด กำหนดให้อินเดียระบายสต็อกข้าวทั้งหมด 15 ล้านตัน ในระยะเวลาเดียวกับกรณีฐาน โดยแบ่งอีก 5 ล้านตันไว้สำหรับการใช้ในประเทศ โดยข้อมูลจากบทความ From shortage to surplus: India pours record rice crop into ethanol ระบุว่าอินเดียอาจมีการนำผลผลิตข้าวบางส่วนไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การผลิตเอทานอล เป็นต้น ทำให้อุปทานข้าวอินเดียที่จะออกสู่ตลาดมีปริมาณน้อยกว่าในกรณีฐาน และส่งผลให้ราคาข้าวอาจลดลงน้อยกว่ากรณีฐาน


3. กรณีเลวร้ายที่สุด กำหนดให้อินเดียระบายสต็อกข้าวทั้งหมด 20 ล้านตันในระยะเวลาสั้นกว่าในกรณีฐาน โดยเร่งระบายสต็อกภายใน 10 เดือน หรือตั้งแต่ เดือน ก.ย. 2568-มิ.ย. 2569 ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากบทความ India’s Record 30M-Ton 2025-26 Rice Export Target Seen Pressuring Global Prices ที่ระบุว่าอินเดียจะระบายสต็อกข้าวทั้งหมดก่อนที่ผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาด ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วง มิ.ย. 2569 โดยการเร่งระบายข้าวในระยะเวลาที่สั้นกว่าจะทำให้อุปทานข้าวตลาดโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าในกรณีฐาน และจะส่งผลให้ราคาลดลงแรงกว่าในกรณีฐาน

ความท้าทายที่ 2 ความต้องการนำเข้าข้าวของคู่ค้าที่ลดลง


อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย โดยในปี 2567 ไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียราว 1.3 ล้านตัน สูงเป็นลำดับที่ 1 ซึ่งเกิดจากในช่วงปี 2566-2567 อินโดนีเซียได้เพิ่มโควตาการนำเข้าข้าวเพื่อควบคุมราคาในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซียมีการประกาศใช้มาตรการคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ ด้วยการจำกัดการนำเข้าข้าว เนื่องจากผลผลิตในอินโดนีเซียมีเพียงพอสำหรับการบริโภค ทำให้ตั้งแต่ช่วง ม.ค.-ส.ค. 2568 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปตลาดอินโดนีเซียลดลงถึง 1.04 ล้านตัน (ลดลง -94%YoY)


เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยลำดับที่ 6 ที่มีส่วนแบ่งตลาดราว 13% หรือ 6.5 แสนตัน ในปี 2567 ได้มีนโยบายห้ามนำเข้าข้าวเพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 ซึ่งจะส่งผลกระทบกับปริมาณการส่งออกข้าวโดยรวมของไทย

ความท้าทายที่ 3 สหรัฐฯ เร่งเจรจาคู่ค้าเปิดเสรีข้าว เพิ่มความเสี่ยงไทยถูกแย่งตลาด


สหรัฐฯ ได้เจรจากับคู่ค้า เช่น ญี่ปุ่นให้เพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและรายได้จากการส่งออกข้าวไปยังญี่ปุ่น โดยในปี 2567 ข้าวไทยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 43% ของการนำเข้าข้าวทั้งหมดของญี่ปุ่น โดยในช่วงเดือน ก.ค. 2568 สหรัฐฯ และญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจะเพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ถึง 75% ภายใต้ระบบโควตา “Minimum Access" ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งอนุญาตให้นำเข้าข้าวได้โดยไม่เสียภาษีศุลกากรประมาณ 770,000 ตัน/ปี ซึ่งการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของข้าวไทยในญี่ปุ่น ดังนั้น การที่สหรัฐฯ เจรจาญี่ปุ่นให้เพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ อาจทำให้ข้าวไทยเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดญี่ปุ่น

ความท้าทายที่ 4 ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า


ค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทย สอดคล้องกับมุมมองของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยที่มองว่า หากเงินบาทแข็งค่า อาจทำให้ตั้งราคาส่งออกลำบากและแพงกว่าคู่แข่ง โดยหากค่าเงินแข็งทุก 1 บาท จะทำให้ราคาส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 15 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน1 ส่งผลให้ราคาข้าวไทยในเชิงเปรียบเทียบสูงกว่าคู่แข่ง เช่น เวียดนามหรืออินเดีย ทำให้ผู้นำเข้าบางประเทศหันไปซื้อจากแหล่งอื่นแทน ในทางกลับกัน หากเงินบาทอ่อนค่า ราคาข้าวไทยจะถูกลงในสายตาผู้ซื้อ ทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้นและรายได้สุทธิของผู้ส่งออกสูงขึ้น โดยผลการวิเคราะห์ข้อมูลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทและปริมาณการส่งออกข้าวไทยมีค่า Correlation ราว 0.5 ซึ่งเป็นความสัมพันธ์เชิงบวกและสะท้อนว่าค่าเงินบาทมีผลต่อการส่งออกข้าวของไทย ทำให้ในระยะข้างหน้าหากค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง อาจทำให้ปริมาณส่งออกข้าวไทยมีแนวโน้มลดลง


ความท้าทายที่ 5 ข้าวไทยกำลังเสียเปรียบเวียดนามในการปรับตัวไปสู่ตลาด Low Emission Rice ซึ่งกระทบโอกาสในการขยายตลาดข้าวพรีเมียม


เวียดนามเร่งพัฒนาข้าวที่มีคุณภาพตามแนวทาง ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ “Green & Low Emission Rice” สำหรับส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่นและยุโรป พร้อมแผนพัฒนาเกษตรแบบลดคาร์บอนในพื้นที่กว่า 1 ล้านเฮกตาร์ภายในปี 2030 ขณะที่เกษตรกรเวียดนามมีการนำนวัตกรรม เช่น การปลูกแบบเปียกสลับแห้ง หรือ Alternate Wetting and Drying (AWD) และการใช้โดรนพ่นปุ๋ย มาลดการใช้น้ำและก๊าซมีเทนอย่างเป็นรูปธรรม ในทางกลับกัน ไทยแม้จะมีโครงการต้นแบบร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น TGCP-Agriculture และ Olam Agri ที่พัฒนาเกษตรยั่งยืน แต่ยังอยู่ในวงจำกัดและขาดการสร้างแบรนด์ระดับประเทศในเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันตลาดโลกเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG เป็นปัจจัยหลักในการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะในตลาดพรีเมียม หากไทยยังไม่เร่งยกระดับการพัฒนา ESG ในอุตสาหกรรมข้าวอย่างจริงจังและเป็นระบบ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่าสูงให้กับคู่แข่งอย่างเวียดนาม


ความท้าทายที่ 6 ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทย ที่ยังต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง กดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจากต้นทุนที่ยังคงสูงกว่าโดยเปรียบเทียบผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม เป็นหนึ่งในจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าวไทยในระดับโลก ปัจจุบัน เกษตรกรไทยผลิตข้าวได้เพียง 458 กิโลกรัม/ไร่ ขณะที่เวียดนามผลิตได้ถึง 986 กิโลกรัม/ไร่ แม้จะอยู่ภายใต้ต้นทุนการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อหารด้วยผลผลิตที่ต่างกัน ต้นทุนเฉลี่ย/กิโลกรัมของข้าวไทยจึงสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ไทยเสียเปรียบในการตั้งราคาขาย โดยปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตข้าวไทยยังต่ำ เกิดจากการใช้พันธุ์ข้าวที่ไม่ตอบโจทย์การตลาดและสภาพอากาศ การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ไม่ทั่วถึง จนถึงเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ยังไม่พัฒนา หากไทยไม่เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่ให้เทียบเท่าคู่แข่ง ข้าวไทยอาจค่อยๆ สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งด้านต้นทุนและส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว

 


Implication

อุตสาหกรรมข้าวไทยกำลังเผชิญความท้าทายที่สำคัญ จากการกลับมาของอินเดียในตลาดโลก รวมถึงการที่ประเทศผู้นำเข้าที่เร่งสร้างความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ ทำให้คาดว่าในปี 2569 ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยจะอยู่ที่ราว 360 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และมีปริมาณการส่งออกที่ราว 7.0 ล้านตัน ซึ่งทำให้ซ้ำเติมปัญหาผลผลิตและสต็อกล้นประเทศจนทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยอาจจำเป็นต้อง “ย้ายสนามแข่งขัน” สู่พื้นที่ใหม่ที่ไทยมีศักยภาพสูงกว่าเดิม ผ่าน 4 แนวทางหลัก คือ


● เปลี่ยนจาก Mass Exporter สู่ Value Exporter โดยการขายข้าวจำนวนมากในราคาถูกอาจไม่ใช่จุดแข็งของไทยอีกต่อไป แต่การพัฒนา “ข้าวคุณภาพเฉพาะทาง” เช่น ข้าว GI ข้าวอินทรีย์ ข้าวฟังก์ชันนัล และการสร้างเรื่องราวของ แบรนด์ จะทำให้ข้าวไทยมีมูลค่าเกินกว่าแค่สินค้าโภคภัณฑ์หรือ Commodity ซึ่งอาจจะเป็นทางรอดในตลาดที่แข่งขันด้วยคุณค่าไม่ใช่ต้นทุน

● มุ่งไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ผู้ส่งออกไทยควรลดการพึ่งพาตลาดดั้งเดิม เช่น สหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้า และหันไปยังตลาดที่ยังไม่มีผู้เล่นหลัก เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และประเทศเกิดใหม่ในเอเชียกลาง (เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน) ซึ่งมีความต้องการบริโภคสูงแต่ขาดโครงสร้างการผลิตข้าวในประเทศ

● เพิ่มผลผลิตต่อไร่ผ่านการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว ผู้ประกอบการควรร่วมมือกับภาคเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาและสนับสนุนสายพันธุ์ข้าวที่มีผลผลิตสูง ทนแล้ง ทนน้ำเค็ม หรือใช้ระยะเวลาปลูกสั้น เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยการผลิตและเพิ่มปริมาณวัตถุดิบเพื่อการส่งออก พันธุ์ข้าวเฉพาะทางที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ยังสามารถตอบสนองดีมานด์เฉพาะของตลาด เช่น ข้าวหอมตะวันออกกลาง หรือข้าวนึ่งในแอฟริกา

● ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งในด้านการตลาดและการผลิต โดยการเจรจาการค้าในเวทีระหว่างประเทศ เช่น FTA หรือข้อตกลงด้านความมั่นคงอาหาร ควรมีเป้าหมายเปิดตลาดใหม่ให้ข้าวไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคุณภาพสูง ขณะเดียวกัน รัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในด้านวิจัยสายพันธุ์ข้าว ส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และสนับสนุนงบ R&D แก่เอกชน เพื่อเร่งพัฒนาความสามารถเชิงแข่งขันในระยะยาว

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

LEO มั่นใจโค้งสุดท้ายปี 68 มีโอกาสเติบโต ลุยทั้ง Logistics และ Non-Logistics สร้างรายได้ยั่งยืน

LEO มั่นใจโค้งสุดท้ายปี 68 มีโอกาสเติบโต ลุยทั้ง Logistics และ Non-Logistics สร้างรายได้ยั่งยืน

ซื้อแบงก์ใหญ่ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย อยู่ในโหมดพักตัว แต่ก็แรงซื้อขายหุ้นแบงก์ใหญ่หนาแน่น ทั้ง KBANK ...

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้