สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 2 ธันวาคม 2568 )-------นายกฤษฎา พฤติภัทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)NEWS เปิดเผยว่า (“บริษัทฯ”) ขอแจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้าของคดีความหรือ ข้อพิพาททางกฎหมายที่สำคัญของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ตามหมายเหตุประกอบข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล สำหรับ งวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 รายละเอียดดังนี้
บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด (“บริษัทย่อย”) มีภาระผูกพันจากการทำสัญญาให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ ระบบดิจิทัลกับผู้ให้บริการโครงข่ายรายหนึ่ง เพื่อขอใช้โครงข่ายจากผู้ให้บริการโครงข่ายประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล เพื่อเผยแพร่ช่องออกอากาศสัญญาณโทรทัศน์ จำนวนเงิน 437.33 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 10 ปี 16 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2571 โดยบริษัทย่อยได้ส่งมอบหนังสือค้ำประกันของ ธนาคารแห่งหนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 7.704 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันตามสัญญา
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 บริษัทย่อยได้จัดส่งหนังสือขอยกเลิกสัญญาให้บริการโครงข่าย โดยให้สิ้นสุดสัญญา ในวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ซึ่งบริษัทย่อยสามารถยกเลิกสัญญาได้ โดยอ้างอิงตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2562 ทางคู่สัญญาได้แจ้งขอสงวนการใช้สิทธิตามสัญญาและทางคู่สัญญาได้มีการแจ้งให้บริษัทย่อยชำระค่าเสียหาย จากการเลิกสัญญาก่อนกำหนด ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2571 เป็นเวลา 8 ปี 10 เดือน
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 บริษัทย่อยปฏิเสธการชำระค่าเสียหาย และทั้งสองฝ่ายได้ยื่นฟ้องกันต่อศาล ปกครอง ต่อมาสามารถตกลงกันได้และถอนฟ้อง อย่างไรก็ตาม บริษัทย่อยยังไม่ได้รับคืนหนังสือหลักประกัน จึงยื่นฟ้อง คู่สัญญาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 ต่อมาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ศาลแพ่งได้ทำการไกล่เกลี่ยครั้งที่ 2 แล้ว คู่ความ ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงส่งสำนวนกลับสู่กระบวนการพิจารณาคดีต่อไป
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ผู้ให้บริการโครงข่ายรายหนึ่งได้ฟ้องกลับบริษัทย่อยกับธนาคารแห่งหนึ่ง โดยอ้างว่า บริษัทย่อยบอกเลิกสัญญาให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ระบบดิจิทัลโดยมิชอบ จึงไม่ต้องคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคาร และไม่ต้องรับผิดชำระเงินค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันให้แก่บริษัทย่อย และเนื่องจากทั้งสองคดีเกี่ยวเนื่องกัน ผู้ให้บริการโครงข่าย จึงขอให้ศาลรวมการพิจารณาทั้งสองคดีเข้าด้วยกัน
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ศาลได้พิจารณาคำฟ้อง คำให้การ และประเด็นข้อพิพาท ศาลเห็นสมควรกำหนด ประเด็นข้อพิพาทภาระการพิสูจน์และสืบในประเด็นข้อพิพาท อย่างไรก็ตาม โจทก์และจำเลยประสงค์จะนำพยานเข้าเบิก ความเพิ่มเติม ซึ่งศาลอนุญาตให้คู่ความทั้งสองฝ่ายนำพยานเข้าร่วมสืบพยานในวันที่ 14 - 16 พฤษภาคม 2568
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ บริษัทย่อยชำระเงินค่าเสียหายจากการบอกเลิก สัญญาแก่ผู้ให้บริการโครงข่ายแห่งหนึ่งจำนวน 95.40 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 หรือตามอัตราที่ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวตั้งแตวันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ให้บริการโครงข่าย และให้ธนาคารแห่งหนึ่งโอนเงิน หลักประกันจำนวน 7.80 ล้านบาท แก่ผู้ให้บริการโครงข่าย รวมทั้งให้บริษัทย่อยและธนาคารจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมร่วมกัน
ปัจจุบันบริษัทย่อยอยู่ระหว่างเตรียมการดำเนินการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ เนื่องจากฝ่ายบริหารของบริษัทย่อยมีความเชื่อมั่นว่าบริษัทย่อยไม่มีภาระหน้าที่ต้องชำระค่าชดเชยรวมทั้งดอกเบี้ยตาม การตัดสินของศาลชั้นต้น เนื่องจากบริษัทย่อยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาสัมปทานอย่างครบถ้วนแล้ว
ดังนั้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 จึงมิได้บันทึกประมาณการหนี้สินดังกล่าวในข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้า บริษัทฯ จะรายงานให้ทราบต่อไป