Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

108

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการลงทุนโลกยังคงแกว่งตัวผันผวน แม้ภาพรวมดัชนี MSCI ACWI และราคาน้ำมันดิบ WTI จะปิดบวกได้เล็กน้อยที่ 0.4% และ 0.6% ตามลำดับ แต่การเคลื่อนไหวระหว่างสัปดาห์ก็ไม่มั่นคงนัก ขณะที่ตลาดตราสารหนี้เผชิญแรงขาย กดดันราคาพันธบัตรอายุ 7-10 ปี ให้ลดลง 0.3%
สำหรับตลาดหุ้นไทยก็เผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยดัชนี SET ปิดลบถึง 2.6% สะท้อนภาพการเทขายในวงกว้าง (Broad-based sell-off) ที่กระทบหุ้นถึง 17 จาก 20 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มที่ถูกเทขายหนักที่สุดคืออิเล็กทรอนิกส์ (-6.0%) และท่องเที่ยว (-5.6%)


ประเด็นสำคัญในต่างประเทศที่น่าสนใจ
นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) ได้กล่าวตอบคำถามในสภาเกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคง โดยระบุว่า หากจีนใช้กำลังทหารบุกไต้หวัน ญี่ปุ่นจะมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของญี่ปุ่น

คำพูดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะภายใต้กฎหมายความมั่นคงปี 2015 (ที่ผลักดันในสมัยอดีตนายกฯ ชินโซ อาเบะ ซึ่งเป็นครูทางการเมืองของทาคาอิจิ) คำจำกัดความนี้จะเปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถใช้กองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) เพื่อตอบโต้และช่วยเหลือพันธมิตรที่ถูกโจมตีได้

ความเห็นดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายจีน โดยกงสุลจีนประจำนครโอซาก้า ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แม้ภายหลังโพสต์ดังกล่าวจะถูกลบไป แต่ก็มีคนบันทึกไว้ได้ทัน

เหตุการณ์นี้นำไปสู่การประท้วงจากรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งมองว่าเป็นถ้อยแถลงที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาปกป้องกงสุลจีน โดยระบุว่าเป็นเพียงการตอบโต้ความเห็นที่ผิดและอันตรายของนายกฯ ญี่ปุ่น และเรียกร้องให้ญี่ปุ่นทบทวนประวัติศาสตร์ (ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2) ส่วนไต้หวันเองก็ออกมาประณามคำขู่ของเจ้าหน้าที่จีนเช่นกัน

นัยต่อการลงทุน: จุดยืนของนายกฯ ทาคาอิจิ ถือเป็นการฉีกออกจากนโยบายความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์ (strategic ambiguity) ที่ญี่ปุ่นเคยใช้กับจีนในประเด็นไต้หวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกับจีนซึ่งเป็นคู่ค้าทางเศรษฐกิจรายใหญ่
แม้ว่าภายหลังนายกฯ ญี่ปุ่นจะออกมาชี้แจงว่า คำพูดของเธอเป็นเพียงการยกสถานการณ์สมมติ เพื่ออธิบายคำจำกัดความทางกฎหมาย และยืนยันว่าญี่ปุ่นยังยึดมั่นในข้อตกลงปี 1972 ที่รับรองจีนเดียว แต่ท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีนและเป็นมิตรกับไต้หวันของเธอนับตั้งแต่รับตำแหน่ง ก็ถูกมองว่าอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นที่จะตึงเครียดยิ่งขึ้นในอนาคต

สถานการณ์นี้ตอกย้ำภาพการแบ่งขั้วของโลก (Multipolar World) ที่ชัดเจน และยังคงเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว แม้ในระยะสั้นอาจยังคงแกว่งตัวเพื่อสร้างฐานราคา หลังปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงในปีนี้

 

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค หลังเกิดแรงซื้อคืนบริเวณ 6,630 จุด (จุดต่ำสุดเดิมเมื่อต้นเดือนพฤษจิกายน) จนมีลักษณะการสร้างฐานแบบ Double Bottom ก็ตาม แต่เราประเมินว่าภาวะตลาดยังคงมีความผันผวนสูง ดังนั้น ในช่วงที่เหลือของเดือนพฤศจิกายน เราจึงยังคงคำแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ทยอยสะสม (Phased-in) เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงแทนการเข้าซื้อทั้งหมดในครั้งเดียว


แม้ว่าคณะกรรมการ Fed หลายท่านจะยังส่งสัญญาณไม่ชัดเจน เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม แต่เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี
เราประเมินว่าอัตราผลตอบแทน (Yield) ยังคงอยู่ในทิศทางขาลง และมีโอกาสสูงที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.9% ในช่วงที่เหลือของปี ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคที่เปิดทางให้ Fed สามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินได้ โดยเฉพาะสัญญาณความอ่อนแอที่ชัดขึ้นจากภาคการ จ้างงาน ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อก็ไม่ได้เร่งตัวขึ้นอย่างที่ตลาดเคยกังวล ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำมุมมองของเราว่า Fed จะยังอยู่บนเส้นทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป


ราคาทองคำ (Gold Spot) ปรับขึ้น 2.1% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การเคลื่อนไหวยังคงผันผวนสูง โดยเฉพาะการเผชิญแรงเทขายทำกำไรในช่วงปลายสัปดาห์ ส่งผลให้ในสัปดาห์นี้ ราคาอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบกว้าง เพื่อพยายามสร้างฐานราคาบริเวณ 3,900-4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เราประเมินว่าการพักตัวนี้เป็นผลดีต่อแนวโน้มระยะยาว เนื่องจากช่วยลดความร้อนแรงจากการเก็งกำไร ดังนั้น จังหวะที่ราคาอ่อนตัวจึงเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการทยอยสะสม โดยเรายังคงเป้าหมายราคาทองคำสำหรับปี 2026 ไว้ที่ระดับ 5,000 ดอลลาร์เช่นเดิม

ในระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบ Brent ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 60-66 ดอลลาร์ฯ ท่ามกลางความกังวลเรื่องอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ซึ่งสะท้อนผ่านโครงสร้างตลาดล่วงหน้าที่เป็น Partial Contango
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยพื้นฐานจะอ่อนแอ เราประเมินว่ากรอบขาลง (Downside) ของราคายังจำกัด โดยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย อิหร่าน และเวเนซุเอลา ที่ช่วยจำกัดอุปทานไม่ให้เข้าสู่ตลาดโลก
ขณะที่ประเด็นที่ต้องจับตาในระยะสั้นก็คือ ในปัจจุบันน้ำมันจากประเทศที่ถูกคว่ำบาตรกำลังสะสมเป็นคลังน้ำมันดิบลอยน้ำ (Floating Storage) ในปริมาณมาก (อิหร่าน 161 ล้านบาร์เรล, เวเนซุเอลา 72 ล้านบาร์เรล) เนื่องจากคำสั่งซื้อชะลอตัว โดยเฉพาะจากโรงกลั่นในจีนที่มีสต็อกสูง
ภาวะนี้สร้างความไม่แน่นอนสูงให้ตลาด หาก Floating Storage เหล่านี้สามารถระบายเข้าสู่ตลาดได้ ก็จะยิ่งซ้ำเติมภาวะอุปทานล้นตลาด แต่หากยังคงติดค้าง ก็จะช่วยพยุงราคาในระยะสั้นไว้ได้

ดัชนี SET ยังมีแนวโน้มผันผวนสูง โดยเครื่องมือชี้วัดจังหวะตลาด (Market Timing Indicators) ทั้ง Momentum Strength และ Momentum Volume Index ต่างส่งสัญญาณอ่อนตัวลงอย่างชัดเจน
ภาพดังกล่าวสะท้อนว่าแรงกดดันฝั่งขาลงยังคงมีอยู่สูง และภาพรวมจะยิ่งดูอ่อนแอลงหากดัชนีหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,270 จุด ท่ามกลางสภาวะที่ยังไม่แน่นอน เราจึงแนะนำให้ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
Commerce: CRC

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ดิ่งต่อศุกร์ที่แล้ว และเป็นการลงแบบกระจายหลายกลุ่มฯ โดยมีหุ้นบวกสวนเป็นรายตัว เช่น TOA SPCG SISB MEGA เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
Wait and see
หุ้นไทยสัปดาห์ที่แล้วปรับลงแรง (ผิดคาด) หลังหลุดแนวรับสำคัญ 1290 จุด ซึ่งเป็นจุดที่เราตั้ง Stop loss ไว้สำหรับการเล่นรอบหุ้นไทยในช่วงที่รอดูทิศทาง งบการเงินไตรมาส 3/25 นี้

เมื่อหลุดแนวรับหลัก และราคาหุ้นรายตัวส่งสัญญาณอ่อนแอกว่าที่คาด “งบดีหรือแย่ ราคาหุ้นก็โดนเทขาย” เมื่อเราเห็นสัญญาณนี้ช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว เราจึงต้องเริ่มเตือน และแนะนำให้นักลงทุนทยอยกระชับพอร์ต ถือเงินสดเพิ่มขึ้น เพื่อรอประเมินทิศทาง และแนวทางในการเลือกหุ้นเล่นรอบใหม่

โดยเบื้องต้นสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยควรเริ่มเห็นแรงขายที่บรรเทา เบาบางลง เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายที่ควรจะลดลง ไม่ใช่หุ้นลง-แรงขายเพิ่มขึ้น แถมปริมาณการขายหนาแน่น เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของการจบรอบใหญ่ และอาจลงลึกกว่าแนวรับถัดไป 1250 จุด

กลยุทธ์คงคำแนะนำ ขายทำกำไรหุ้นธนาคาร, กระชับพอร์ต เพิ่มการถือเงินสด (อิงตามพอร์ตจำลอง นักลงทุนควรถือเงินสดเกิน 50%) เพื่อรอรับหุ้นในราคาต่ำกว่านี้ โดยธีมการเลือกหุ้นเล่นรอบ จะเปลี่ยนไปเน้นที่ Catalysts (ปัจจัยหนุนราคาหุ้น) แทนการหาหุ้นตามผลการดำเนินงาน ซึ่งการเล่นดักงบ-กลายเป็นธีมที่เล่นยาก ในช่วงฤดูกาลประกาศงบ 3Q25 ที่จบลงไปแล้ว

ปัจจัยที่คาด มีอิทธิพลต่อราคาหุ้นไทยระยะสัปดาห์ เราให้น้ำหนักไปที่ความผันผวนของสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดโลก: ตลาดหุ้นต่างประเทศ, น้ำมันและตลาดเงินดิจิตอล...คาดส่งผลลบต่อตลาดหุ้นไทย แต่จะจำกัดเมื่อข้ามพ้นเดือนนี้ไปได้

ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ ที่ปรับขึ้นมาสักระยะแล้ว หากเปลี่ยนแนวโน้มเป็นลง คาดจะเป็นตัวยืนยันจุดกลับตัวของตลาดหุ้นไทย

กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

 


วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET Index on fire! ปรับตัวลดลง 3% WoW หรือ 30 จุด ปัจจุบันกำลังลงมาใกล้ EMA 200 วัน โดยเคลื่อนที่อยู่ในคลื่นขาลง Corrective wave “C” ขณะที่ RSI ช่วยยืนยันภาวะความอ่อนแรง จับตา price pattern “Bearish Megaphone” ชี้ตำแหน่งแนวรับ ลึกถึงโซน 1,890 จุด มีความเป็นไปได้หรือไม่ จุดชี้ชะตาจะอยู่ที่โซนรับ 1,250 จุด (EMA 200 วัน) ห้ามหลุดเป็นอันขาด ส่วนหุ้นแนะนำหากผิดทาง หลุดจุดคัท แนะขายปิดความเสี่ยง
Note: “Bearish Megaphone” กราฟจะมีลักษณะคล้ายกับเครื่องขยายเสียง (megaphone) ที่ยอดแหลมชี้ขึ้นบน ซึ่งเกิดจากราคาที่ทำจุดสูงสุดใหม่ไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ได้สูงเท่าไหร่ แรงซื้อก็ยิ่งแผ่วลง ทำให้ราคาแกว่งตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ไฮไลท์หุ้น: แผนเทรด: TOP สู้ SPRC เด่นกว่าเพื่อน!/ AOT ไปต่อหรือพอแค่นี้/ CPALL ขึ้นจากฐาน/ BEM “Bullish rectangle….แม่นหรือไม่”/ BAM แผนเล่นสวน…..ขึ้นขาย” ติดตามแผนเทรด+มุมมองกราฟเทคนิคในหน้าถัดไปครับ


What to watch
ตลาดคาดหุ้นเพิ่มเข้าคำนวณดัชนี SET50 ม.ค.-มิ.ย.69: GLOBAL, ITC, SAWAD หุ้นออกได้แก่ BCP, KKP, VGI โดยคาดประกาศกลางเดือน ธ.ค.69 / ดัชนี SET100 คาดหุ้นเข้า BPP, CKP, SAPPE ส่วนหุ้นถูกถอด คาดได้แก่ JTS, MBK, WHAUP
S&P Global rating คงอันดับเครดิตประเทศไทยที่ -BBB และแนวโน้มมีเสถียรภาพ (Outlook-Stable)
MSCI ประกาศทบทวนดัชนีรายไตรมาส MSCI Global Small Index หุ้นเข้ามี 1 ตัว คือ M ส่วนหุ้นออกมี 5 ตัว คือ AAV, CKP, JTS, QH, TPIPP โดยจะมีผลต่อราคาปิดของวันที่ 24 พ.ย.
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า ไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ขอ "ระงับชั่วคราว" การเจรจากรอบความตกลงภาษีต่างตอบแทนไทย-สหรัฐฯ โดยจะกลับมาหารือได้อีกครั้งเมื่อไทยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม Joint Declaration อย่างเคร่งครัด
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย กสทช. เตรียมเสนอโครงการ "เน็ตคนละครึ่ง" เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชาชนกลุ่มรายได้น้อย โดยเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กว่า 14 ล้านคนทั่วประเทศ โดยใช้งบประมาณสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ

หุ้นแนะนำวันนี้
TOP “ถือ” จาก Valuation ที่ต่ำอยู่ด้านล่าง PBV 0.47x ผลตอบแทนเงินปันผล 5.2%
แนวรับ 35 ต้าน 37 Stop loss 34

Tactical port ถอด ITC


รายงานผลประกอบการวันนี้

วันนี้ มีรายงานผลประกอบการทั้งหมด 12 บริษัท แบ่งเป็น
(+) กำไรดีกว่าคาด (Beat) จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ CK BTS WHAUP CENTEL
(0) กำไรตามคาด (In-line) จำนวน 5 บริษัท ได้แก่ BGRIM CPN CBG SIRI SC
(-) กำไรต่ำกว่าคาด (Missed) จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ WHA PSH BCH

(+) Beat:
(+) CK รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 1,739 ล้านบาท หักกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนบริษัทร่วมที่ 814 ล้านบาท กำไรหลักจะอยู่ที่ 925 ล้านบาท ลดลง 8% YoY (ฐานสูงใน 3Q24) แต่เพิ่มขึ้น 7% QoQ กำไรหลักที่ออกมามากกว่าที่เราและตลาดคาด 22% และ 11% ตามลำดับ เกิดจาก GM และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนมากกว่าคาด แนวโน้มกำไร 4Q25 มอง Turnaround YoY แต่ลดลง QoQ ราคาหุ้นที่ลงมาสวนทางกับพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้น มองเป็นจังหวะเข้าซื้อสะสมและชอบมากสุดในกลุ่มรับเหมาฯ โดยเรายังคงให้คำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 19 บาท
(+) BTS รายงานกำไรสุทธิงวด ก.ค.-ก.ย. ที่ 102 ล้านบาท (ดีกว่าคาดจากรายการพิเศษ) หักรายการพิเศษขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 676 ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้น YoY และ QoQ แนวโน้มงวด ต.ค.-ธ.ค. คาดลดลง YoY แต่ดีขึ้น QoQ เรายังแนะนำเพียงถือ ในกลุ่มขนส่งเราชอบ AAV และ BEM มากกว่า
(+) WHAUP รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 487 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% YoY และ 117% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 83% และ 16% ตามลำดับ จากค่าชาร์จส่วนพิเศษของผู้ใช้น้ำรายใหญ่ และกำไร JV ที่มากกว่าคาด พร้อมทั้งจ่ายปันผล 0.06 บาท (Div yields 1.5%) ขึ้น XD วันที่ 27 พ.ย. แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรเพิ่ทขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ (จากฐานสูงดังกล่าว) เราปรับกำไร 2025-26 ขึ้น 32% และ 13% ตามลำดับ ราคาเป้าหมายใหม่ 5.50 บาท คงคำแนะนำซื้อ
(+) CENTEL รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 160 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 191 ล้านบาท ลดลง 2% YoY แต่เพิ่มขึ้น 73% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 47% และ 44% ตามลำดับ เกิดจากธุรกิจร้านอาหารดีกว่าคาด โดยจากกลุ่มร้านอาหารใน JV และการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร (ส่วนโรงแรมตามคาด) แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรลดลง YoY (จากค่าใช้จ่ายโรงแรมใหม่) แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากโรงแรมในไทยและโอซาก้า รวมทั้งที่เพิ่มเปิดในมัลดีฟส์ เราปรับกำไรปี 2025 ขึ้น 6% ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 38.70 บาท คงคำแนะนำซื้อ โดยคาดหวังได้ทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร

(0) In-line:
(0) BGRIM รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 524 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 414 ล้านบาท ลดลง 49% YoY และ 13% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ ตามฤดูกาล เราคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท มองปัจจัยบวกจากการเริ่มโครงการที่เกาหลี ที่ทยอย COD และอุปสงค์จากลูกค้าใหม่ของนิคมฯ AMATA ที่เห็นการเข้ามาซื้อที่ดินก่อนหน้า
(0) CPN รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 5.42 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 4.44 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YoY และ 3% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 4Q25 คาดกำไรเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ โดยปัจจัยหนุนจาก 1) Central Park เข้าเต็มไตรมาส 2) การโอนอสังหาฯ ที่เพิ่ม เราเห็น Upside กำไรอีก 2-3% ยังคงให้เป็น Top Pick กลุ่ม แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 62 บาท
(0) CBG รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 3Q25 ที่ 616 ล้านบาท ลดลง 17% YoY และ 23% QoQ อ่อนแอตามที่เราและตลาดคาด โดยแรงกดดันมาจากยอดขายต่างประเทศ และ GM ที่ลดลง แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรลดลง YoY ต่อ แต่เพิ่ม QoQ ตามฤดูกาล เราปรับลดกำไรปี 2026 ลง ตามสมมติฐานรายได้จากกัมพูชาใหม่ (-51% จากเดิมให้ -20%) และ GM ลดลง ราคาเป้าหมายใหม่ให้ที่ 51 บาท (จาก 67 บาท) แต่ด้วยราคาที่อ่อนแอลงมาสะท้อนแล้ว และ Downside กัมพูชาที่จำกัดเมื่อเทียบประมาณการใหม่ จึงแนะนำซื้อ
(0) SIRI รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 1 พันล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 920 ล้านบาท ลดลง 27% YoY และ 24% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรยังลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ ยังคงคำแนะนำถือ
(0) SC รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 3Q25 ที่ 390 ล้านบาท ลดลง 23% YoY แต่เพิ่ม 7% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรฟื้นตัว YoY และ QoQ จากการโอน เรายังแนะนำถือ

(-) Missed:
(-) WHA รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 634 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 638 ล้านบาท ลดลง 16% YoY และ 41% QoQ ต่ำกว่าที่เราคาด 13% (แต่เป็นไปตามตลาดคาด) พร้อมจ่ายปันผล 0.0669 บาท (Div yields 2.1%) ขึ้น XD วันที่ 27 พ.ย. แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากขายสินทรัพย์เข้า REITs เรายังแนะนำเลี่ยง หรือ Switching ไป WHAUP
(-) PSH รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 106 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 122 ล้านบาท ลดลง 47% YoY แต่เพิ่มขึ้น 263% QoQ ต่ำกว่าที่เรา แต่เป็นไปตามตลาดคาด แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรหลักยังลดลง YoY แต่ฟื้น QoQ เรายังคงคำแนะนำขาย
(-) BCH รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 347 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 312 ล้านบาท ลดลง 20% YoY และ 2% QoQ ต่ำกว่าที่เราและตลาด 5% และ 12% ตามลำดับ เกิดจากจำนวนผู้ป่วยและอัตรากำไรต่ำกว่าคาด แนวโน้ม 4Q25 คาด กำไรลดลงทั้ง YoY, QoQ โดยชาวไทย-กัมพูชา เป็นตัวกดดันหลัก เราปรับกำไรปี 2025-26 ลง 4-5% และปรับลดคำแนะนำลงมาเป็น “ขาย” (จากซื้อ) ราคาเป้าหมายใหม่ 10.50 บาท มองตลาดมีโอกาสปรับลดกำไรอีก 8-10%

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

ERW
ดิ เอราวัณ กรุ๊ป
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
บริษัทคาด 4Q25 Revpar -7% yoy ยังกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง แต่ได้แรงหนุนจากยุโรป อินเดีย และตะวันออกกลาง เทียบ Revpar -10% YoY ภาพรวมใน 3Q25การต่อสัญญาโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ยังคงใช้เวลาถึงปีหน้า
View from fundamental: เรามองการฟื้นตัวบวกมากขึ้นใน 4Q25 และ 1Q26 จากนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ และดอกเบี้ยจ่ายขาลง เป็นปัจจัยบวกปีหน้า

 

SAWAD
ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
SAWAD ดูมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หลังจากที่บริหารหนี้เสียภายในกิจการมาราว 2 ปีแล้ว และปรับลด LTV ให้ต่ำลง โดยเน้นเติบโตสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก โดยตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 10-15% YoY ในปีหน้า (สูงกว่าที่เราคาดว่าจะเติบโตราว 5% YoY)
View from fundamental: เราคาดกำไรของ SAWAD จะกลับมาเติบโตได้ 7% YoY ในปี 2026 หนุนจากสินเชื่อและ NIM กลับมาขยายตัวได้ 21bps YoY ยังแนะนำ ซื้อ

CPF
เจริญโภคภัณฑ์อาหาร
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ผู้บริหารมองบวกต่อราคาหมูไทย จีน และเวียดนาม ฟื้นใน 4Q25 จากมาตรการลด supply และกระตุ้นการบริโภค เป้าราคาหมูไทยมากกว่า 75 บาท ในช่วงสิ้นปีนี้และต้นปีหน้า
View from fundamental: นอกเหนือจากเรื่องราคาเนื้อสัตว์ฟื้น เราชอบ CPF ในเรื่องการใช้เทคโนโลยีและการวิจัยต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพเรื่องสัตว์ และหนุน GM ในช่วงราคาเนื้อสัตว์และต้นทุนอาจมีความผันผวน คงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้