Today’s NEWS FEED

News Feed

SMPC บุ๊คงบ Q3/68 ทำกำไร 128 ลบ. โต 27.4% หนุน 9 เดือนกำไรแตะ 481 ลบ. ส่งซิกแนวโน้ม Q4 ปีนี้ ต่อเนื่องไตรมาสแรกปีหน้า ออเดอร์ไหลเข้าต่อเนื่อง

84

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(12 พฤศจิกายน 2568)--------SMPC ประกาศงบไตรมาส 3/2568 มีกำไรสุทธิ 127.69 ลบ. โต 27.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้จากการขาย 857.60 ลบ. ลดลง 26.5% ตามปริมาณขายที่ลดลง 13% จากความผันผวนของค่าขนส่งทางเรือทำให้ลูกค้าชะลอการรับของ ราคาเหล็กลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 21% ค่าเงินบาทแข็งขึ้น 8% ส่งผลให้ราคาขายลดลง ขณะที่กำไรงวด 9 เดือนแรกปีนี้ทำได้ 480 ลบ. โต 6.4% รายได้อยู่ที่ 3,041.99 ลบ. ลดลง 11.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ ยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการสินค้าจากลูกค้าในสหรัฐฯ ยังคงมีสม่ำเสมอ เพื่อทดแทนถังเดิมที่เสื่อมสภาพ ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ได้อย่างต่อเนื่อง ส่งซิกแนวโน้ม Q4 ปีนี้ต่อเนื่องไตรมาสแรกปีหน้า ออเดอร์ไหลเข้าต่อเนื่อง เดินหน้าชูกลยุทธ์เน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ High Value เพิ่มมาร์จิ้น ลุยขยายตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นางปัทมา เล้าวงษ์ รองประธานกรรมการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่าผลประกอบการของบริษัทฯ งวด 9 เดือนของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 480.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 451.87 ล้านบาท เนื่องจากอัตราการทำกำไรดีขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและการจัดจำหน่ายลดลงจากการเปลี่ยนนโยบายการขายแบบไม่รวมค่าขนส่ง เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าขนส่งทางเรือผันผวน ต้นทุนทางการเงินลดลงจากการเร่งชำระหนี้

 

โดยมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 3,041.99 ล้านบาท ลดลง 403.24 ล้านบาท หรือ 11.7% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 3,445.23 ล้านบาท ในขณะที่ปริมาณขายลดลง 3% และราคาขายลดลง 9% จากราคาเหล็กลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 16% และค่าเงินบาทแข็งขึ้น 7% ทำให้ยอดขายลดลง

 

“ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 727.39 ล้านบาท ลดลง 6.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 778.39 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 1.3% เป็น 23.9% เนื่องจากสัดส่วนการขายถังใหญ่ และถังประเภทอื่นซึ่งมีอัตราการทำกำไรดีเพิ่มขึ้น และต้นทุนราคาเหล็กลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 16% สุทธิกับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น”


ขณะที่ผลประกอบการในงวดไตรมาส 3/2568 บริษัทมีกำไร 127.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.47 ล้านบาท หรือ 27.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 100.22 ล้านบาท มีรายได้จากการขาย 857.60 ล้านบาท ลดลง 308.98 ล้านบาท หรือ 26.5% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการ 1,166.58 ล้านบาท ตามปริมาณขายที่ลดลง 13% เนื่องจากความผันผวนของค่าขนส่งทางเรือทำให้ลูกค้าชะลอการรับของ ในขณะเดียวกันราคาเหล็กลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 21% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 8% ทำให้ราคาขายลดลง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 23.2% เป็น 24.9% ผลจากราคาวัตถุดิบลดลง 21% และสัดส่วนการขายถังขนาดใหญ่และถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆ ซึ่งมีราคาสูงและอัตราการทำกำไรดีเพิ่มขึ้น


ถึงแม้ในปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย แต่บริษัทสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบ และโครงสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งจากการส่งออก ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 90% ของรายได้รวม อีกทั้งบริษัทยังมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยกลยุทธ์ Natural Hedge นอกจากนี้บริษัทยังพิจารณาการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น การซื้อสัญญา Forward Currency ตามสถานการณ์ตลาด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนจากหลายปัจจัยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ความต้องการจากลูกค้าในสหรัฐฯ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการทดแทนสินค้าที่เสื่อมสภาพและการขยายตลาดของคู่ค้าในประเทศดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าสหรัฐฯได้อย่างสม่ำเสมอ โดยคำสั่งซื้อจากลูกค้าสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 14%


นอกจากนี้ราคาวัตถุดิบเหล็กที่ลดลงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไร ขณะเดียวกันบริษัทเฝ้าระวังต้นทุนค่าขนส่งที่อาจเพิ่มขึ้น และปรับกลยุทธ์ขายแบบ FOB เพื่อรองรับความผันผวน รวมถึงติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และความเสี่ยง พร้อมแนวทางการรับมือเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯได้ดำเนินนโยบายขยายส่วนแบ่งทางการตลาดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ และกระจายฐานลูกค้าในแต่ละภูมิภาคที่มีความต้องการสินค้าในช่วงเวลาที่ต่างกัน และเพื่อป้องกันกรณีหากพื้นที่ขายใดมีปัญหา ก็จะมียอดขายจากพื้นที่อื่นมาชดเชย ทำให้รายได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง


สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2568 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/2569 ยังเห็นโมเมนตัมการเติบโตที่ดี จากข้อมูลคำสั่งซื้อไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังมีการชะลอตัวในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รวมทั้งบริษัทได้งานประมูลเพิ่มเข้ามา โดยยอดขายรวมปีนี้คาดทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่คำสั่งซื้อจากลูกค้าในสหรัฐฯยังแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้