Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: ADVANC เปิด Q3/68 กำไรสุทธิ 12,039 ล้านบาท โตสนั่น 37% ทุกธุรกิจโตแข็งแกร่ง ด้าน TRUE พลิกกำไรสุทธิ 1,572 ล้านบาท ปันผลระหว่างกาลครั้งแรก 0.19 บาทต่อหุ้น

179

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 4 พฤศจิกายน 2568 )------- ADVANC แจงQ3/68 กำไรสุทธิ 12,039 ล้านบาท เติบโต 37% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต้นทุนค่าคลื่นความถี่ลดลงหลังสิ้นสุดสัญญาเชื่อมต่อโครงข่าย 2100MHz กับ NT และค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ลดลง พร้อมเปิดมุมมองปี68 คาดรายได้จากบริการหลัก- EBITDA โตที่ระดับ 4 ถึง 6% ทุ่มงบลงทุน 26,000 ถึง 27,000 ล้านบาท



บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)ADVANC เปิดเผยว่า เอไอเอสรายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 12,039 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับปีก่อน และเติบโตร้อยละ 9.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สะท้อนภาพการดำเนินงาน ที่แข็งแกร่ง ต้นทุนค่าคลื่นความถี่ที่ลดลงจากการสิ้นสุดสัญญาเชื่อมต่อโครงข่าย 2100MHz กับ NT และค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ลดลง



ไตรมาส 3/2568 เอไอเอสมีกำไร EBITDA อยู่ที่ 31,406 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อน และเติบโตร้อยละ 3.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เป็นผล จากการขยายตัวของรายได้ร่วมกับการบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบ โดยอัตรากำไร EBITDA อยู่ที่ร้อยละ 57.8


ในไตรมาส 3/2568 เอไอเอสมีรายได้รวมอยู่ที่ 54,362 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเติบโตที่แข็งแกร่งของทุกธุรกิจ ชดเชยกับรายได้ จากการเป็นพันธมิตรกับ NT ที่ลดลง ขณะที่รายได้รวมลดลงร้อยละ -3.0 จาก ไตรมาสก่อน ตามรายได้จากการเป็นพันธมิตรกับ NT และรายได้จากการขาย อุปกรณ์ที่ลดลง


กำไร EBITDA และผลประกอบการยังคงเติบโตจากการรักษาสมดุลระหว่างการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต และการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร สะท้อนการเติบโตเชิงคุณภาพในทุกมิติ ภายหลังการก้าวผ่าน วาระครบรอบ 35 ปี เอไอเอสยังคงต่อยอดการเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยการยืนหยัดในฐานะองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะที่มีรากฐานแข็งแกร่ง มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ภายใต้ผลการดำเนินงานมิติต่างๆ ดังนี้

 

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่: เสริมแกร่งโครงข่ายเพื่อความได้เปรียบระยะยาว

            มีผู้ใช้บริการรวม 46.3 ล้านเลขหมาย โดยมีผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 15.8 ล้านเลขหมาย เติบโต 36% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการลงทุนเชิงคุณภาพ ในการขยายโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้ครอบคลุมกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านประสบการณ์ดิจิทัลให้กับผู้ใช้ทั่วประเทศ

           รวมถึงการเปิดให้บริการคลื่นความถี่ 2100MHz ทันทีหลังชนะการประมูล พร้อมประยุกต์ใช้เทคโนโลยี "Super Block" ถือเป็นการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่ายให้รองรับการใช้งานไปอีกขั้น ด้วยความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านคุณภาพที่ได้รับการการันตีโดยรางวัล OOKLA ปี 2025

          นอกจากนี้ การนำแพ็กเกจรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษมาสร้างความผูกพันกับลูกค้า ยังเป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับฐานลูกค้าอีกด้วย

 

ธุรกิจบรอดแบนด์: สร้างความต่างด้วยประสบการณ์และคุณภาพบริการ

         ภายใต้แบรนด์ AIS 3BB FIBRE3 เอไอเอสมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก 68,000 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ใช้รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 5.2 ล้านราย

          การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากกลยุทธ์ "ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยยุคดิจิทัล" โดยผสานโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้ากับคอนเทนต์ระดับพรีเมียม ผ่านแพ็กเกจ Super FAST และ Home FibreLAN ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่ครอบครัวจนถึงผู้ใช้งานที่มีความต้องการเฉพาะด้านทั้งสตรีมมิ่งและเกมมิ่ง

         ขณะเดียวกัน การเสริมพอร์ตด้วยคอนเทนต์กีฬาระดับโลก อาทิ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, NBA, และ NFL ไม่เพียงสร้างความแตกต่างด้านประสบการณ์ แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการวางตำแหน่ง AIS 3BB FIBRE3 ให้เป็น "ผู้นำบริการดิจิทัลครบวงจรในทุกบ้าน"

 

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร: ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

          ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรเติบโต 14% จากไตรมาส 3 ปีก่อน จากแนวโน้มการเร่งทรานส์ฟอร์มองค์กรของภาครัฐและเอกชน โดยเอไอเอสวางกลยุทธ์เป็นพันธมิตรเทคโนโลยีครบวงจรที่ให้บริการตั้งแต่โครงข่ายสื่อสาร ระบบคลาวด์ ไปจนถึงโซลูชัน AI เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

          ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก เช่น Oracle Cloud และโครงการ GSA Data Center เป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เชื่อมโยงอย่างปลอดภัยและยั่งยืน รองรับการขับเคลื่อนองค์กรไทยสู่การเป็น Sustainable Nation ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม



สำหรับมุมมองของผู้บริหารต่อแนวโน้มและกลยุทธ์ในปี 2568  คาดการณ์รายได้จากบริการหลักเติบโตที่ระดับร้อยละ 4 ถึง 6


ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2568 ยังคงแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งที่ต่อเนื่องมาจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 สำหรับการเติบโตของรายได้ จากการให้บริการหลักยังคงมุ่งเน้นที่คุณภาพ โดยให้ความสำคัญกับกำรสร้ำงประสบกำรณ์กำรใช้งำนที่เหนือกว่า ร่วมกับยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง แนวทางดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เอไอเอสสามารถรักษาแนวโน้มการเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาคและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจ ส่งผลกระทบต่อ GDP ประเทศไทยและกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับประมาณการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการหลัก เอไอเอส ยังมีมุมมอง เชิงระมัดระวัง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี



คาดการณ์กำไร EBITDA เติบโตประมาณร้อยละ 4 ถึง 6 จากการมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไร เอไอเอสมีกำไร EBITDA ที่เติบโตสอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 ปี 2568 คาดว่าค่าใช้จ่ายบางรายการจะปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายการตลาด ค่าใช้จ่ำยที่เกี่ยวข้องกับบริการคอนเทนต์ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนกำรควบรวมที่ยังคงดำเนินกำรอย่ำงต่อเนื่อง

 

ตั้งเป้างบลงทุนระหว่าง 26,000 ถึง 27,000 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของโครงข่ายและใช้ในการควบรวมกิจการให้เสร็จสมบูรณ์

เอไอเอสมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว และส่งมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นมาอย่ำงสม่ำเสมอต่อเนื่อง เอไอเอสจึงให้ความสำคัญต่อการรักษาสถานะ ทำงการเงินให้แข็งแกร่ง และมีความคล่องตัวเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต นโยบายการจ่ายเงินปันผลจะจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิ โดยนโยบายการจ่ายเงิน ปันผลนี้จะทำให้เอไอเอสมีกระแสเงินสดเพื่อเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อกำรเป็นผู้นำตลาด ความสามารถในการแข่งขัน และโอกาสในการเติบโต ของธุรกิจ รวมถึงพร้อมรับต่อสภาวการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลง






ด้านบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)TRUE  รายงานงบการเงินไตรมาส3/2568 มีกำไรสุทธิ  1,572   ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน  ขาดทุนสุทธิ 810.17  ล้านบาท   พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล อัตรา  0.19  บาทต่อหุ้น XD  17 พ.ย. 68


บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)TRUE   รายงานผลกำไรหลังหักภาษีประจำไตรมาส 3/2568 มูลค่า 1.6 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นการทำกำไร 3 ไตรมาสติดต่อกัน หากไม่รวมผลกระทบจากรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit) อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ในส่วน EBITDA อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท โดยได้แรงหนุนหลักจากการได้มาซึ่งใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ สำหรับการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จำนวน 6.6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 125%


นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3/2568 เราคงความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีหมุดหมายสำคัญคือการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกให้ผู้ถือหุ้น ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการบริหารการเงินอย่างมีวินัย และการให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายนอกเหนือธุรกิจหลัก ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน เรายังคงดำเนินงานด้วยความมุ่งมั่นตามลำดับความสำคัญที่ชัดเจน เพื่อเสริมสร้างรากฐานทางธุรกิจให้มั่นคง ยกระดับศักยภาพจากสินทรัพย์ดิจิทัลและนวัตกรรมที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมองหาโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยล่าสุดเราได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์และคลาวด์ ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย และเสริมสร้างขีดความสามารถสำหรับการแข่งขันในระยะยาว เรามั่นใจในการดำเนินงานสู่การบรรลุเป้าหมายสำหรับปี 2568 และในระยะยาว"


ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นการสร้างฐานผู้ใช้บริการที่มีคุณภาพ โดยลดการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานแบบหมุนเวียน (Rotational Gross Adds) พร้อมปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านค่าคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 3/2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 46.9 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.4 ล้านเลขหมาย หรือคิดเป็น 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 3.8 ล้านราย โดยไตรมาส 3 ปี 2568 จำนวนผู้ใช้บริการ 5G อยู่ที่ 15.5 ล้านราย

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด  ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 5.2 พันล้านบาท คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 6.6 พันล้านบาท คิดเป็น 0.19 บาทต่อหุ้น หรืออัตราการจ่ายปันผลเท่ากับ 125% การพิจารณาครั้งนี้ยืนยันความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการส่งมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่กับการรักษาวินัยทางการเงินและการเติบโตอย่างมีกำไร


ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลกำไรสุทธิหลังหักภาษี (Net Profit After Tax) จำนวน 1.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2568 ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ แม้รายได้รวมยังคงชะลอตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ผลกำไรได้รับประโยชน์จากการได้มาซึ่งใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่

รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC ลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากรายได้ในกลุ่มบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ชะลอตัว โดยมีรายได้จากธุรกิจออนไลน์ และธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก เข้ามาช่วยชดเชยบางส่วน หากไม่รวมผลกระทบจากเหตุการณ์ระบบโครงข่ายขัดข้องชั่วคราวในไตรมาสที่ 2 และการลดลงของรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ จะเห็นว่ารายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นทั้งเมื่อเทียบรายปีและรายไตรมาส ขณะเดียวกัน รายได้ค่าเช่าโครงข่ายที่ลดลงตามการสิ้นสุดของสัญญาในการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รายได้รวมลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในช่วงไตรมาส 3

ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A ลดลง 21.6% จากปีก่อนหน้า ต้นทุนโครงข่ายลดลง 16.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการจัดสรรคลื่นความถี่ และการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 6.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการผ่านการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัยและการริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง แนวทางการบริหารทางการเงินอย่างมีวินัยของ ทรู คอร์ปอเรชั่น รวมถึงการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่ง บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต

นับตั้งแต่การควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์ ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA จำนวน 7.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำเร็จของกลยุทธ์การบูรณาการ สำหรับไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีกำไร EBITDA เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ด้วยการได้รับแรงหนุนหลักจากการจัดสรรคลื่นความถี่และการประหยัดต้นทุนที่เกี่ยวข้อง อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 5.1 จุดเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีอัตราอยู่ที่ 65.3% สำหรับไตรมาสนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรของทรู คอร์ปอเรชั่น อยู่ที่ 4.2 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 ลดลง 0.2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 0.2 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

สำหรับไตรมาส 3/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานกำไรสุทธิหลังหักภาษี 1.6 พันล้านบาท ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกรายการที่ไม่ใช่เงินสดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (One-Time Non-Cash) จำนวน 3 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย และการยุติบริการคลื่น 850 MHz เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวตามนี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.6 พันล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงานและการดำเนินกลยุทธ์ของบริษัทฯ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเป็นสัดส่วนของยอดขายอยู่ที่ 15% สำหรับไตรมาสนี้"


ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับไตรมาส 3/2568

รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC: 4.13 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
EBITDA: 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ 7.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการ: 65.3%
กำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT): 1.6 พันล้านบาท ปรับปรุงรายการจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท
เงินปันผลระหว่างกาล (งวด 9 เดือน ปี 2568): 6.6 พันล้านบาท (เงินปันผลต่อหุ้น 0.19 บาท) คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 125%










---จบ---

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยังดี มีสตอรี่ให้เล่น By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย อยู่ในสภาวะไม่คึกคัก ด้วย ตอนนี้ นักลงทุน อยู่ระหว่าง...

SSP หุ้นคุณภาพดี! คว้า CGR "ดีเลิศ" 5 ดาว 2 ปีซ้อน

SSP หุ้นคุณภาพดี! คว้า CGR "ดีเลิศ" 5 ดาว 2 ปีซ้อน

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

หุ้นอินไซด์ทอล์ค : รู้จักพื้นฐาน ATLAS เคาะราคาไอพีโอที่ 3 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 7-10 ตุลาคมนี้

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้