Equality for All
TU : บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป

3Q25 กำไรสุทธิ 1,304 ลบ. หด -7% y-y แต่ขยายตัวเบาๆ +3% q-q : กำไรที่ออกมาเป็นไปตามคาดแต่ได้ผลบวกจากอัตราภาษีจ่ายน้อยกว่าคาด โดยยอดขาย 34,501 ลบ. -1% y-y แต่ +3% q-q แยกตามกลุ่มดังนี้

กลุ่ม Ambient (50% ของยอดขายรวม) : ยอดขายอยู่ที่ 17,247 ลบ. -4% y-y +4% q-q ยอดขายที่ลดลงส่วนหนึ่งจากค่าเงินบาทแข็งค่า ส่วนยอดขายรับจ้างผลิตกลุ่มค้าปลีกในสหรัฐหดตัว แต่ได้ชดเชยจากยอดขายยุโรปที่ฟื้นตัว อีกทั้งได้ผลกระทบจากการขึ้นภาษีในสหรัฐและไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นได้ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นหดเหลือ 19.4% จาก 20.1% ใน 3Q24 และ22% ใน 2Q25

กลุ่ม Pet care (13%) : ยอดขายเพิ่ม +6% y-y และ +5% q-q จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายตลาดหลักในสหรัฐทั้งจากลูกค้าใหม่ และสินค้าใหม่ ขณะที่ในส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปรับลงจาก 30.6% ใน 3Q24 เหลือ 25.8% ใน 3Q25 จากปีก่อนมีโอนกลับสำรองสินค้า ค่าเงินแข็ง และมีให้เงินสนับสนุนลูกค้าบางราย แต่ดีขึ้นจาก 25.6% ใน 2Q25 จากสัดส่วนสินค้า Premium เพิ่มเป็น 55.1%

กลุ่ม Frozen (30%) : ยอดขายโต +5% y-y และ +3% q-q จากการเพิ่มขึ้นยอดขายอาหารแช่แข็งในสหรัฐ รวมถึงธุรกิจอาหารสัตว์ที่ยอดขายทำสถิติสูงสุด ขณะที่ในส่วนอัตรากำไรขั้นต้นนั้นดีขึ้นเป็น 13.8% จาก 12% ใน 3Q24 และ 11.7% ใน 2Q25 อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีมาจากยอดขายที่มากกว่าคาด

กลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่ม (7%) : ยอดขายลดลง -16% y-y และ -3% q-q จากการหดตัวของยอดขายในสหรัฐ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ 25.6%

อัตรากำไรขั้นต้น : หดตัวเหลือ 19% จาก 19.5% ใน 3Q24 และ 19.7% ใน 2Q25 ส่วนใหญ่ได้รับผลจากธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงที่อัตรากำไรลดลงตามเหตุผลที่กล่าวข้างต้น

คชจ.ขายและบริหารต่อยอดขาย : ทรงตัว q-q ที่ 13.8% แต่เพิ่ม y-y เป็น 13.5% จากค่าใช้จ่ายด้านกิจกรรมส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น

4Q25 เริ่มรับผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น : อัตราภาษีทีเพิ่มขึ้นคาดว่าจะเริ่มส่งผลกระทบต่อการขายตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม คู่แข่งในตลาดเริ่มมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ซึ่ง COSI บริษัทย่อยของ TU ได้เริ่มปรับราคาขายขึ้นเช่นกัน ซึ่งในส่วนกลุ่ม Frozen จะได้รับผลกระทบจากการปรับราคามากสุดเพราะปกติจะมีอัตรากำไรที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ และคงต้องรอดูว่าหลังปรับราคาขายขึ้นส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อบ้างหรือไม่ และในส่วนบริษัทจะลดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายลง

ดีลการเสนอซื้อของ Mitsubishi ไม่สำเร็จแต่ทาง MC ยังอยู่ระหว่างหาวิธีการเข้าซื้อใหม่ : สำหรับการเสนอซื้อหุ้นของ TU ในราคา 12.50 บาท/ หุ้น ที่ไม่สำเร็จเกิดจากคนเสนอขายน้อยกว่าเงื่อนไขที่วางไว้ แต่ ผบห. แจ้งว่าแม้ดีลดังกล่าวไม่สำเร็จ แต่ทาง MC ยังมีความต้องการจะถือหุ้นใน TU เพิ่มคงอยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขใหม่อีกครั้งซึ่งเรามองว่าจะทำให้ราคาหุ้นมีปัจจัยดังกล่าวมาประคองไว้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความร่วมมือการทำธุรกิจร่วมกันยังดำเนินต่อไป เพราะ MC กับ TU เป็นคู่ค้ามามากกว่า 30 ปี
ผบห. ปรับเป้ายอดขายลง และสัดส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากเดิม : ผบห. มีปรับลดยอดขายปีนี้จากเดิมคาดหดตัว 1-2% เป็นหดตัว 2-4% เนื่องจากยอดขาย 9M25 หดตัว 6% ขณะที่ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายปรับขึ้นเป็น 13.5%-14.5% จากเดิม 13.5%-14% เนื่องจาก 9M25 อยู่ที่ 14.5% ซึ่งเราคาดว่าประมาณการเดิมของเรายังล้อไปกับเป้าใหม่ของ TU ได้ เพราะเดิมเราคาดยอดขายอยู่ที่ 128,608 ลบ. ลดลง -7.3% y-y จากสมมติฐานค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 5.7% จากปีก่อนเป็นเฉลี่ย 33.24 บาท/ เหรียญ ในปีนี้

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19.3% จากการได้ผลบวกจากราคาวัตถุดิบปรับลง และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นในกลุ่ม Ambient ซึ่งเป็นรายได้หลักของ TU ขณะที่ค่าใช้จ่ายขายต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 14.5% คาดกำไรสุทธิ 4,264 ลบ. หดตัว -15% y-y ขณะที่ปี 2026 การเติบโตจะมาจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงเป็นหลัก เราคาดยอดขายโต 4% y-y ที่ 134,707 ลบ. และคาดกำไรสุทธิ 4,688 ลบ. +10% y-y เราปรับไปใช้เราคาเหมาะสมปี 2026 เป็น 13.90 บาท/ หุ้น

บาทอ่อนช่วยบ้าง
“งบไม่ได้ต่างจากที่คาดไว้ แต่เรามองว่าการสนใจเข้าซื้อหุ้นเพิ่มของ MC จะเป็นตัวประคองราคาหุ้นไม่ให้ปรับลงมากจากความคาดหวังการปรับราคาเสนอซื้อเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงความคาดหวังของตลาดฯ เท่านั้น ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานปี 2026 คาดไม่มากส่วนหนึ่งจะได้ผลบวกจากค่าใช้จ่ายที่ลดลง
เราคงแนะนำ “ถือ” คาดการฟื้นตัวน่าจะทยอยดีขึ้นหลังการปรับโครงสร้างภายในช่วยต้นทุนลดลง ไม่ต้องรีบเข้าลงทุนก็ได้ ”

นารี อภิเศวตกานต์
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971
naree.a@liberator.co.th