สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 20 ตุลาคม 2568)----ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ ในไตรมาส 3/2025 เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 4.8%YoY จาก 5.2%YoY ในไตรมาส 2/2025 ได้รับปัจจัยกดดันจากปัจจัยภายในประเทศ โดยการใช้จ่ายในประเทศเติบโตชะลอลง ยอดค้าปลีกขยายตัวที่ 2.4%YoY จาก 4.4%YoY ในไตรมาส 2/2025 และการชะลอของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรฉุด GDP ลง โดย Contribution to GDP ลดลงอยู่ที่ 0.9% จาก 1.3% ในไตรมาส 2/2025
ขณะที่ภาคการส่งออกเติบโตดีกว่าคาดท่ามกลางสงครามการค้ารอบใหม่ที่สหรัฐฯ เก็บภาษีรวมจากจีนสูงถึง 57.6% (อ้างอิงจาก PETERSON INSTITUTE FOR INTERNATIONAL ECONOMICS) โดย 9 เดือนแรกจีนส่งออกเติบโตที่ 6.1%YoY แม้การส่งออกไปสหรัฐฯ หดตัวลง -16.9%YoY แต่ถูกชดเชยด้วยการส่งออกไปไปประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะใน ASEAN ที่เติบโตแข็งแกร่งที่ 14.7%YoY สนับสนุนให้เศรษฐกิจจีน 9 เดือนแรกของปี 2025 เติบโตได้ที่ 5.2%YoY สูงกว่าเป้าหมายทางการที่ 5%
กิจกรรมทางเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชี้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังคงต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกอย่างภาคการส่งออก ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศส่งสัญญาณอ่อนแอสะท้อนผ่าน 2 เรื่องสำคัญ คือ
1. การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2020 โดยการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ -13.9%YoY,YTD จาก 11.2%YoY ใน 6 เดือนแรกของปี จากสถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเผชิญแรงกดดันหลายด้านทั้งยอดขาย และราคาที่อยู่อาศัยที่ยังปรับลดลง นอกจากนี้แรงกดดันเพิ่มเติมยังมาจากการลงทุนในภาคการผลิตเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 4.0%YoY, YTD จาก 7.5%YoY,YTD ใน 6 เดือนแรกของปี 2025 ซึ่งคาดว่าเกิดจากความเชื่อมั่นในการลงทุนที่ลดลงจากความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้า ด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 1.0%YoY, YTD ซึ่งคาดว่ามาจากรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นที่ลดลง
2. การใช้จ่ายในประเทศมีทิศทางเติบโตชะลอลง แม้จะมีมาตรการจากภาครัฐฯ อย่างโครงการของเก่าแลกของใหม่ (Trade-in Program) เข้ามาช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีกยังเติบโตได้ในบางรายการสินค้า แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำทั้งจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และสงครามการค้ารอบใหม่ยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการบริโภคภายในประเทศ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปี 2025 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 4.8% ตามประมาณการณ์เดิม โดยเศรษฐกิจจีนยังเผชิญความท้าทาย 3 ด้านหลัก ดังนี้
1. ทิศทางการส่งออกยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้ปัจจุบันการเก็บภาษีสินค้าในระดับสูงของสหรัฐฯ จะยังไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบในการส่งออกภาพรวมของจีน แต่ทิศทางการลงทุน และความเชื่อมั่นในประเทศเริ่มส่งสัญญาณหดตัวลง รวมถึงในระยะข้างหน้าหากการเก็บภาษี Transhipment มีความชัดเจนขึ้น หรือมีเงื่อนไขการเก็บภาษีด้านอื่น ๆ รวมถึงภาษีรายสินค้าจะเข้ามาเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม ล่าสุดจะมีการเจรจาทางการค้าของสหรัฐฯ และจีนในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมุมมองว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เก็บจากจีนจะไม่กลับไปสูงถึง 100%
2. มาตรการ Anti-involution ที่จะเข้ามาควบคุมกำลังการผลิตส่วนเกินอาจทำให้มีการควบรวมบริษัท และปรับลดแรงงาน ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยปัจจุบันทางการจีนยังไม่ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพื่อมารองรับ
3. การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังคาดมีจำกัด โดยธนาคารกลางจีนเริ่มมีข้อจำกัดในการปรับลดดอกเบี้ยมากขึ้น เช่น ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก (NIM) ของธนาคารจีนอยู่ในระดับต่ำที่ 1.145% ขณะที่การกระตุ้นผ่านภาคการคลังยังเผชิญแรงกดดันจากฝั่งรัฐบาลท้องถิ่นที่รายได้ลดลง
ทั้งนี้ ในวันนี้จีนมีเปิดการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Fourth plenum) (20-23 ต.ค.2025) โดยคาดว่าจะมีการหารือกันในประเด็นสำคัญอย่าง แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 (2026-2030) ซึ่งจะมีมุมมองหรือเป้าหมายตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจจีน อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงการเปิดแผนกระตุ้นการบริโภค มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้คาดจะมีการพูดถึงรายละเอียดของมาตรการ Anti-involution ที่ชัดเจนขึ้น